สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
อหิงสา
การไม่ใช้ความรุนแรง เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์มีอหิงสา มีอำนาจยิ่งกว่าศัสตราวุธใด ๆ ที่มนุษย์จะคิดค้นได้ การทำลายมิใช่เป็นกฎของมนุษยชาติ มนุษย์มีชีวิตอยู่อย่างอิสระด้วยการฆ่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองไม่ได้ การฆ่าหรือการทำร้ายผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
เงื่อนไขประการแรกของการไม่ใช้ความรุนแรงก็คือ สร้างความเป็นธรรมให้แก่ชีวิตทุกชนิดและระดับ เราอาจจะหวังจากธรรมชาติของมนุษย์มากเกินไปไม่ได้ แต่ข้าพเจ้าเองกลับไม่คิดเช่นนี้ เราไม่ควรจะจำกัดความสามารถของมนุษย์ในการสร้างความดีหรือความร้าย
การใช้ความรุนแรงจำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปะการฆ่าฉันใด
การใช้อหิงสาก็จำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปะการตาย
ฉันนั้น
การใช้ความรุนแรงมิใช่เป็นการช่วยให้ผู้ใช้ความรุนแรงพ้นจากความกลัว
แต่เป็นการค้นหาวิธีต่อสู้กับมูลเหตุของความกลัว
ส่วนอหิงสาหรือการไม่ใช้ความรุนแรงไม่เคยเป็นมูลเหตุให้เกิดความกลัว
ผู้เลื่อมใสบูชาอหิงสาจำต้องฝึกฝน
ตนเองให้มีความเสียสละอย่างสูงสุดเพื่อไม่ให้เกิดความกลัว
เขาไม่กลัวว่าเขาจะต้องสูญเสียไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ
ทรัพย์สมบัติ หรือแม้แต่ชีวิต
ผู้ที่ไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้
จะไม่สามารถประพฤติปฏิบัติอหิงสาได้โดยสมบูรณ์
ผู้เลื่อมใสบูชาอหิงสามีความกลัวอยู่อย่างเดียว
คือ กลัวพระผู้เป็นเจ้า
ผู้ที่ยึดพระเป็นเจ้าเป็นที่พึ่ง
ควรจะรู้จักวิญญาณซึ่งอยู่เหนือกาย
เมื่อใด
ที่เขารู้จักวิญญาณซึ่งเป็นของเที่ยงแท้เมื่อนั้นเขาจะเลิกรักกายอันเป็นของไม่เที่ยงแท้
ด้วยประการฉะนี้
การฝึกอบรมในวิถีทางของ อหิงสา
หรือการไม่ใช้ความรุนแรง
จึงเป็นเรื่องตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับการฝึกอบรมในวิถีทางของ
หิงสา
หรือการใช้ความรุนแรงหิงสาจำเป็นสำหรับการอารักขาสิ่งภายนอกอหิงสาจำเป็นสำหรับการอารักขาวิญญาณ
อันได้แก่
การอารักขาเกียรตินั่นเอง
การรักและมีเมตตาเฉพาะแก่ผู้ที่รักเราเท่านั้น ไม่ใช่อหิงสา การรักและมีเมตตาแก่ผู้ที่เกลียดเรา นั่นแหละคืออหิงสา ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าการปฏิบัติตนตามกฎแห่งความรักเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องง่าย แต่การกระทำความดีความงาม ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องยากทั้งสิ้น การรักคนที่เกลียดเรานั้น เป็นเรื่องยากที่สุด แต่ด้วยพระกรุณาธิคุณของพระผู้เป็นเจ้า แม้แต่เรื่องยากที่สุดเช่นนี้ก็กลายเป็นเรื่องง่ายได้หากเรามีกำลังใจแน่วแน่
ข้าพเจ้าประสบพบเห็นมาด้วยตนเองว่า ในท่ามกลางการทำลายล้างผลาญ ก็ยังมีชีวิตยืนหยัดอยู่ต่อไป และด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงเข้าใจว่า น่าจะมีกฎอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งอยู่เหนือกฎแห่งการทำลายล้างผลาญ ภายใต้กฎที่ว่ามานี้เท่านั้น สังคมมนุษย์จึงจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และโลกเป็นโลกที่น่าอยู่ และมาตรว่ากฎนี้เป็นกฎแห่งชีวิตแล้วไซร้ เราก็ควรจะนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อใดที่มีความระหองระแหงและที่ใดที่ท่านมีคู่ปรปักษ์ เมื่อนั้นและที่นั้นท่านจะต้องเอาชนะคู่ปรปักษ์ของท่านด้วยความรักความเมตตา ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพยายามประพฤติปฏิบัติเช่นที่ว่ามานี้ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า ข้าพเจ้าสามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้แล้ว ข้าพเจ้าเพียงแต่ได้พบว่า กฎแห่งความรักความเมตตาที่ว่ามานี้ใช้ได้ผลดีกว่ากฎแห่งการทำลายล้าง
ข้าพเจ้าจะขอยกตัวอย่างมาประกอบคำพูด ข้าพเจ้านั้นมิใช่จะสามารถเอาชนะความโกรธของตนเองได้เสมอไป เป็นแต่เพียงว่าข้าพเจ้ามักจะควบคุมความโกรธได้เสมอ และถึงแม้ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกอยู่เป็นนิจว่า ข้าพเจ้ากำลังพากเพียรอยู่อย่างแน่วแน่และไม่หยุดหย่อน ในอันที่จะปฏิบัติตนตามกฎแห่งความรักความเมตตา การพากเพียรดังกล่าวช่วยให้ข้าพเจ้ามีความเข้มแข็งเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ข้าพเจ้าพากเพียรมากขึ้นเท่าใด ก็ได้รับ ปิติสุขในการมีชีวิตและในการปฏิบัติตนตามกฎแห่งความรักความเมตตามากขึ้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้รับความสงบและเข้าใจความเร้นลับของธรรมชาติซึ่งข้าพเจ้าไม่สามารถจะนำมาอธิบายให้เข้าใจ ณ ที่นี้ได้
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าประเทศชาตินั้นก็เช่นเดียวกับปัจเจกบุคคล กล่าวคือ จะต้องสร้างสรรค์กันขึ้นมาด้วยความยากลำบากดุจการแบกไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ วิธีสร้างสรรค์อย่างอื่นไม่มี ปิติสุขไม่เกิดจากการสร้างความ เจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ผู้อื่น หากเกิดจากการยอมรับความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นไว้ ด้วยตัวของเราเอง
หากเราศึกษาประวัติศาสตร์ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันดูให้ดีแล้วไซร้ เราจะเห็นว่า มนุษย์เราก้าวหน้าไปสู่ อุดมการณ์แห่งอหิงสามากขึ้นเป็นลำดับ บรรพบุรุษของเราในยุคโบราณอันไกลโพ้นออกไป กินเนื้อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง ต่อมามนุษย์ได้เลิกกินเนื้อมนุษย์ แล้วเร่ร่อนล่าเนื้อสัตว์กินเป็นอาหาร ครั้นแล้วมนุษย์ก็ปักหลักอยู่กับที่ เริ่มเลี้ยงชีพ ด้วยการทำไร่ไถนา โดยอาศัยแม่ธรณีเป็นที่พึ่ง จากคนป่ามนุษย์เริ่มมีชีวิตเป็นชาวนาครหรือคนเมือง มนุษย์เริ่มมีชีวิต ศรีวิไล มีอารยธรรม และวัฒนธรรมมากขึ้นเป็นลำดับมนุษย์เริ่มสร้างหมู่บ้าน สร้างเมืองและประเทศ จากการเป็นสมาชิกของครอบครัว มนุษย์ได้กลายเป็นสมาชิกของประเทศ วิวัฒนาการเหล่านี้ ล้วนเป็นสัญลักษณ์ว่ามนุษย์ได้ก้าวเข้าสู่อหิงสาและถอยห่างออกมาจากหิงสามากขึ้นเป็นลำดับ มิฉะนั้น มนุษย์คงจะสูญพันธุ์เหมือนสัตว์อื่น ๆ ไปนานแล้ว
ตัดตอนมาจาก : มหาตมา คานธี โลกทั้งผองพี่น้องกัน แปลโดย กรุณา เรืองอุไร กุศลาสัยสามัคคีสาส์น : กรุงเทพ ฯ. 2527. หน้า 152-192