ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป>>
ประวัติศาสตร์ชนชาติจีน
2
ราชวงศ์โจว เริ่มประมาณ ๑๑๒๓ ก่อน ค.ศ.
หลังจากโจวอู่หวังโค่นราชวงศ์ซางลงแล้ว ได้ตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน ได้เริ่มการปกครองด้วยระบบศักดินา คือแยกแผ่นดินออกเป็นแคว้นต่างๆ ให้มีอ๋องไปปกครอง โดยพระองค์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญให้แก่บ้านเมืองมาก ทั้งด้านการเมือง การปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ราชวงศ์โจวมีอายุยาวนานกว่าราชวงศ์อื่นๆ คือ ประมาณ ๘๐๐ ปี แต่มีช่วงเวลา ที่เข้มแข็งจริงๆ ราวๆ ๓๕๐ ปี ที่เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันตก หรือซีโจว ต่อมา สมัยของโจวอิวหวาง กษัตริย์องค์ที่ ๑๒ ซึ่งหลงใหลมเหสีมาก มเหสีมีนามว่า เปาสี นางเป็นคนยิ้มไม่เป็น ทำให้อิวหวางกลุ้มใจมาก ถึงกับตั้งรางวัลไว้พันตำลึง สำหรับผู้ที่ออกอุบายให้นางยิ้มได้ วันหนึ่งเด็กเลี้ยงแกะจุดพลุให้อ๋องต่างๆ เข้าใจว่า ข้าศึกมาบุกเมืองหลวงแล้ว เมื่อยกทัพมาถึงกลับไม่มีอะไร ทำให้เปาสียิ้มหัวเราะออกมาได้ อ๋องต่างๆ โกรธมาก ในที่สุดก็มีข้าศึกยกมาตีเมืองหลวงจริงๆ อิวหวางได้จุดพลุขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่มีอ๋องคนไหนเชื่อ เลยไม่มีใครยกทัพมาช่วย ข้าศึกจึงตีเมืองได้ อิวหวางถูกฆ่าตาย เปาสีถูกจับตัวไป ยิ้มของนางจึงเรียกว่า "ยิ้มพันตำลึงทอง" ซึ่งเป็นยิ้มที่นำความวิบัติ มาสู่ราชวงศ์โจวโดยแท้ ต่อมา พวกอ๋องต่างๆ ได้ยกทัพมาช่วยตีข้าศึก แล้วตั้งโจวผิงหวาง โอรสของโจวอิวหวาง เป็นกษัตริย์ต่อไป ราชวงศ์โจวจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ ลั่วหยาง ลกเอี๋ยง ทางตะวันออก เรียกว่า ราชวงศ์โจวตะวันออก หรือตงโจว หลังจากนั้น ราชวงศ์โจวก็บัญชาอ๋องต่างๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจาก มีราชวงศ์ที่เกิดจากการสนับสนุนของเหล่าอ๋อง เป็นกษัตริย์หรือประมุขเพียงในนาม
ยุคชุนชิว (ก่อน พ.ศ.
๒๒๗-พ.ศ. ๖๗)
เป็นยุคที่ราชวงศ์โจวอ่อนแอลง
ทำให้แว่นแคว้นต่างๆ
แตกแยกกันเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆ
คนจีนเริ่มไม่มั่นคง
แคว้นต่างๆ ทำสงคราม
กล่าวกันว่า
ท่านขงจื๊อกับเหล่าจื๊อ
เกิดในช่วงนี้
บุคคลที่มีชื่อเสียงในยุคนี้เช่น
ไซซี
นางงามผู้ใช้มารยาหญิงเพื่อกู้ชาติบ้านเมือง,
เยว่อ๋องโกวเจี้ยนและหวูอ๋องฟูไช,
ซุนวู
ผู้เขียนตำราพิชัยสงครามชื่อดังต้องสยบให้กับไซซี
ในหนังสือประวัติเจ้าแม่กวนอิมเล่มหนึ่งก็เขียนไว้ว่า
เจ้าแม่กวนอิมก็ประสูติในยุคชุนชิวนี่เอง
แต่ประเทศซิงหลินของพระองค์อยู่ห่างจากจงหยวนของจีนมาก
จึงไม่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบนัก
ยุคจ้านกว๋อ/เลียดก๊ก
(พ.ศ. ๖๘-๓๒๒)
ความแตกแยกในยุคชุนชิวได้เกิดขึ้นอีก
แว่นแคว้นต่างๆ จึงทำสงครามกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่
มีแต่ความวุ่นวายทั้งแผ่นดิน
แคว้นต่างๆ นับร้อยทำสงครามกัน
จนเหลือเพียงไม่กี่แคว้นใหญ่ๆ
เท่านั้น
กษัตริย์ราชวงศ์โจวอ่อนแอมาก
ไม่สามารถปราบปรามแคว้นต่างๆ
ได้ ต่อมาแคว้นฉิน
คนไทยเรียกจิ๋น
ภาษาจีนอ่านว่าฉิน
มีการพัฒนาจนเข้มแข็งมาก
โดยการปฏิรูปของซางยางนักปฏิรูปจอมโหด
ประวัติย่อๆ ของซางยางคือ
เดิมเป็นคนแคว้นเว่ย
ซึ่งอ๋องแคว้นเว่ยมองข้าม
เลยมาสวามิภักดิ์แคว้นฉิน
และได้แสดงความสามารถให้ฉินเซี่ยวอ๋องได้ประจักษ์
ต่อมาได้ปฏิรูปกฎหมายต่างๆ
โดยเน้นการเกษตรและการทหาร
ภายใต้ความเข้มงวดของกฎหมาย
ระหว่างที่มีอำนาจได้สั่งประหารคนไปมากมาย
ลงโทษคนของรัชทายาทอย่างเฉียบขาด
ได้ยกทัพไปตีแคว้นเว่ยบ้านเกิดอีกด้วย
ภายหลังที่ฉินเซี่ยวอ๋องสิ้นพระชนม์ลง
ฉินฮุ่ยอ๋องรัชทายาทได้ครองราชย์
ซางยางก็หนีหัวซุกหัวซุนถูกกฎหมายลงโทษไม่มีใครกล้าให้ที่พำนัก
ต่อมาผู้ที่เคยโดนสั่งลงโทษหักหลังจับตัวไปให้ทางการจึงถูกประหารโดยการฉีกร่างด้วยวิธีห้าม้าแยกร่าง
ฉินอ๋องได้ตีแคว้นต่างๆ
ไว้ในอำนาจ
และโค่นราชวงศ์โจวลงได้เป็น
"เทียนมิ่ง" ของราชวงศ์โจว
สุดท้ายก็ได้ครองทั้งแผ่นดิน
ในสมัยของฉินอ๋อง อิ๋งเจิ้ง
ได้ตีแคว้นต่างๆ
ได้จนหมดทุกแคว้น
โดยการช่วยเหลือของหลี่ซือ
อัครเสนาบดีอิ๋งเจิ้งจึงได้สถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้น
แล้วบังคับให้ชาวจีนทั้งแผ่นดินเรียกตัวเองว่าชาวฉิน
เป็นการตั้งชื่อประเทศจีนมาจากฉินหรือจิ๋นเป็นครั้งแรก
ราชวงศ์ฉิน พ.ศ.
๓๒๒-๓๓๖
ฉินอ๋องได้ชื่อใหม่ให้ตนเอง
เนื่องจากเห็นว่า
ตนสามารถรวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นได้
คำว่า อ๋อง ไม่ยิ่งใหญ่พอ
จึงได้เลือกคำว่า หวงตี้ ฮ่องเต้
ซึ่งแปลว่า "โอรสแห่งสวรรค์"
มาใช้
แล้วเรียกชื่อตนตามชื่อราชวงศ์ว่า
ฉินซีฮ่องเต้
ฮ่องเต้เรียกตัวเองว่า
"เจิ้น" เดิมเรียกว่า "กู"
ซึ่งมีหนังสือบางเล่มบอกว่า
เดิมกษัตริย์ไทยก็เรียกตัวเองว่า
"กู" เหมือนกัน
และคำนี้มีความหมายยิ่งใหญ่มาก
เป็นการเริ่มสมัยโอรสแห่งสวรรค์ครองเมือง
มีการปฏิรูประบบตัวอักษร
ระบบชั่ง, ตวง, วัด
ให้เหมือนกันทั้งประเทศ
สำหรับตัวอักษรนั้นอ่านออกเสียงต่างกันได้
แต่จะต้องเขียนเหมือนกัน
เช่นเลข ๑
เขียนด้วยขีดแนวนอนขีดเดียว
จีนกลางออกเสียงว่า "อิ๊"
แต่แต้จิ๋วอ่านว่า "เจ๊ก" แบ่งการปกครองเป็นระบบจังหวัด,อำเภอ
นับเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ต่อมาฉินซีฮ่องเต้ได้ให้ขุนศึกเหมิงเถียนหรือเม่งเถียน
ยกทัพไปปราบชนเผ่าซงหนู หรือเฉียนหนู
แล้วก่อสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของอนารยชน
ฉินซีฮ่องเต้ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองด้วยความเฉียบขาด กล่าวกันว่าแค่มีคนจับกลุ่มคุยกันก็จะถูกจับทันทีข้อหาให้ร้ายราชสำนัก มีการยัดเยียดข้อหาลงโทษ "ห้าม้าแยกร่าง" เอาเชือกมัดแขนขาไว้กับม้าหรือรถม้า ๕ ทิศ แล้วให้ม้าควบไปฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ และกรณีที่อื้อฉาวมากคือ การเผาตำราสำนักขงจื๊อแล้วจับบัณฑิตสำนักขงจื๊อสังหารหมู่ ด้วยการเผาทั้งเป็น, ฝังทั้งเป็นหรือฝังดินแล้วตัดหัว รัชทายาทฝูโซวเป็นพระโอรสองค์โตยังถูกเนรเทศไปชายแดน ไปช่วยเหมิงเถียนสร้างกำแพงเมืองจีน ด้วยข้อหาขัดแย้งกับพระองค์ จึงมีคนหาทางปลงพระชนม์ตลอดเวลา แม้แต่พระสหายที่สนิทก็ตาม นอกจากนี้พระองค์ยังกลัวความตายมาก พยายามเสาะแสวงหายาอายุวัฒนะมาทุกวิถีทาง แต่สุดท้ายฉินซีฮ่องเต้ก็ป่วยหนักและสวรรคต ในระหว่างที่ออกตามหายาอายุวัฒนะในแดนทุรกันดารนั่นเอง และได้มีพระราชโองการเรียกฝูโซวรัชทายาทกลับมาเพื่อสืบราชบัลลังก์ โอรสองค์นี้มีนิสัยอ่อนโยนกว่าบิดาและยังเก่งกาจอีกด้วย จึงเป็นที่คาดหวังจากราษฎรเป็นอย่างมาก หูไห้โอรสอีกองค์ได้ร่วมมือกับเจ้าเกาขันทีและอัครเสนาบดี และหลี่ซือ ปลอมราชโองการ ให้ฝูโซวและเหมิงเถียนฆ่าตัวตาย แล้วตั้งหูไห้เป็นฮ่องเต้องค์ถัดมา เรียกว่า พระเจ้าฉินที่สองหรือฉินเอ้อซื่อ ซึ่งเป็นฮ่องเต้ไร้สามารถ ต่างกับพระบิดา อยู่ใต้การชักใยของเจ้าเกาขันทีทำให้ราชวงศ์ฉินเสื่อมสลาย หูไห้ได้ใช้เงินทองจำนวนมหาศาลในการก่อสร้างสุสานของฉินซีฮ่องเต้ ปัจจุบันยังหาสุสานฝังศพไม่พบ พบแต่สุสานกองทัพดินเผา มีบันทึกไว้ว่าสุสานจริงๆ นั้นสวยงามอลังการมาก มีอาวุธลับซึ่งจะทำงานอัตโนมัติเมื่อมีผู้บุกรุก และมีทะเลสาบที่เป็นปรอท เรือมังกรขนาดใหญ่บรรทุกโลงศพไว้ โดยปรอทจะหมุนเวียนอยู่ราวกับว่าเป็นน้ำตกลำธารจริงๆ ปัจจุบันจากข้อมูลล่าสุด ทางนักสำรวจได้ตรวจบริเวณที่เชื่อว่าเป็นสุสานฉินซีจริงๆ พบว่ามีปริมาณปรอทอยู่สูงมาก เป็นการยืนยันความมีจริงได้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่กล้าขุดเนื่องจากกลัวจะเสียหาย หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเนื่องจากต้องระวังอาวุธลับ และยังเก็บภาษีจากราษฎรอีก ทำให้ประชาชนก่อกบฏขึ้น ภาพวาดสุสานฉินซี-ฮ่องเต้ในเวลานั้นมีกบฏหลายกลุ่ม มีข้อตกลงกันว่าหากใครบุกเข้าทางกวนจงของราชวงศ์ฉินได้ก่อน จะได้เป็นใหญ่ หลิวปัง ได้ก่อกบฏต่อต้านราชวงศ์ฉินขึ้น และได้ผู้ช่วยมา ๓ คน คือ หานซิ่น จางเหลียง และเซียวเหอ มาช่วยในการวางแผนรบ และประสานงานต่างๆ จึงโค่นราชวงศ์ฉินลงได้ โดยเจ้าเกาได้ฆ่าหลี่ซือปลงพระชนม์หูไห้ แล้วตั้งจื่ออิงหลานของหูไห้เป็นฮ่องเต้แทน แต่เจ้าเกาก็ถูกจื่ออิงฆ่าตาย สำหรับประวัติของเจ้าเกาขันทีผู้ล้มราชวงศ์ฉินนี้ว่าเดิมทีเป็นคนแคว้นเจ้า ต่อมาพ่อแม่ถูกทหารแคว้นฉินฆ่าตาย จึงเก็บความแค้นไว้ในใจ และได้เดินทางมาแคว้นฉินเพื่อหาทางแก้แค้น ถึงกับยอมถูกตอนเป็นขันที ต่อมาเมื่อมีโอกาสเป็นใหญ่ จึงได้ใช้ในการล้างแค้น จนแคว้นฉินล่มลงสมปรารถนา เป็นตำนานขันทีจอมโฉดในหน้าประวัติศาสตร์ จื่ออิงยอมสวามิภักดิ์ต่อหลิวปัง เวลาเดียวกัน เซี่ยงอี้ ได้ละเมิดข้อตกลง โดยตั้งตัวเป็นซีฉู่ป้าอ๋องหรือฌ้อป้าอ๋องแปลว่าอ๋องแห่งแคว้นฉู่ที่ยิ่งใหญ่เหนืออ๋องอื่นๆ เซี่ยงอี้นิยมสงคราม และคิดจะทำให้แผ่นดินแตกแยกกลับไปสู่ยุคจ้านกว๋ออีกครั้ง เซี่ยงอี้ได้เผาพระราชวังอาฝางกงของฉินซีฮ่องเต้ พระราชวังอาฝางกงนี้ใหญ่โตมโหฬาร และโอ่อ่าอลังการมาก จนหลิวปังถึงกับตกตะลึงเมื่อเข้าไปครั้งแรก มีรูปหล่อโลหะขนาดมหึมาหลอมมาจากอาวุธที่ยึดมาจากชาวเมือง ใช้เวลาเผาถึงสามเดือนกว่าจะหมด ถ้าหากไม่ถูกเผาก็คงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกคู่กับกำแพงเมืองจีน เซี่ยงอี้ปลงพระชนม์จื่ออิง แล้วสู้รบกับหลิวปัง การสู้รบได้ยืดเยื้ออยู่นาน เซี่ยงอี้คิดจะแบ่งแผ่นดินปกครองกับหลิวปัง แต่ในที่สุดหลิวปังได้ยกทัพเข้าสู้รบขั้นเด็ดขาด ทำให้เซี่ยงอี้ต้องฆ่าตัวตายในที่สุด