ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กำเนิดพรรคคอมมิวนิสต์จีน
การกบถและความวุ่นวายต่างๆ เกิดมากขึ้นตามเมืองต่างๆของจีน ผู้ก่อการร้ายเกิดขึ้นทั่วไป ในปักกิ่งมีการรวมกลุ่มของคนงานบ้าง แต่ยังไม่หนาแน่น ทางด้านการศึกษามีการประชุมถกเถียงกันถึงสถานการณ์ และความเป็นไปต่างๆ ทั้งของจีนและประชาคมโลก ยิ่งนานวันทุกคนก็ยิ่งคิดถึงความมั่นคงของตน ระยะนี้ปัญญาชนจีนที่กลับจากต่างประเทศก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การรวมตัวของกลุ่มนักศึกษาก็มีมากขึ้นจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1919 อันเป็นวันครบรอบปีที่ 4 ของการยอมรับข้อเรียกร้อง 21 ประการ ของญี่ปุ่น ซึ่งทุกคนถือว่าเป็นวันแห่งการสูญเสีย ในวันนั้นมีข่าวออกมาว่า ที่ประชุมพันธมิตรที่แวร์ซายส์ ได้ตกลงยกกรรมสิทธิ์เหนือซานตุง ซึ่งเป็นของจีนแต่ถูกเยอรมันยึดครองกรรมสิทธิ์ ไปให้แก่ญี่ปุ่น แทนที่จะคืนให้จีน ข่าวนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่คนทั่วไป เพราะเชื่อว่าเป็นแผนของญี่ปุ่นที่จะยึดครองจีน โดยมีมหาอำนาจหนุนหลัง ประกอบกับมีรัฐมนตรี 3 นายของจีนเป็นผู้เห็นด้วย และเซ็นรับข้อตกลงนี้ การประท้วงจึงเกิขึ้นในปีกกิ่งทันที
เฉินตู้สิว เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนการประท้วงครั้งนี้ เขาเรียกร้องให้นักศึกษารวมกลุ่มต่อสู้ โดยพูดว่า
"...สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการจะพูด และพูดด้วยน้ำตาก็คือความหวังที่ว่า นักศึกษาที่ยังหนุ่มแน่นจะมีความสำนึกในตนเอง และพร้อมที่จะต่อสู้ ความสำนึกในตนเองหมายความว่า จะต้องตระหนักถึงพลังและความรับผิดชอบกับเคารพในความเป็นหนุ่มของท่าน ทำไมท่านต้องต่อสู้ เพราะว่าท่านจำเป็นต้องใช้สติปัญญาที่มีอยู่กำจัดคนที่กำลังร่วงโรย ทั้งร่างกายและสติปัญญาให้หมดสิ้นไป จงถือเสมือนหนึ่งว่าพวกนี้เป็นศัตรูของท่าน อย่าติดต่อหรือยอมให้คนพวกนี้มีอิทธิพลใดๆ เหนือท่านอีกต่อไป....
โอ้ คนหนุ่มของจีน ท่านเข้าใจข้าพเจ้าหรือไม่ 5 ใน 10 คน ที่ข้าพเจ้าเห็นล้วนเป็นหนุ่มแต่อายุ ส่วนความคิดและจิตใจนั้นแก่ 9 ใน 10 คน เป็นคนหนุ่มแต่ร่างกาย แต่แก่ในจิตใจ เมื่อความแก่ปรากฎแก่ร่างกาย ร่างกายก็ร่วงโรย เมื่อความแก่ปรากฎแก่สังคม สังคมนั้นก็เสื่อมโทรม การรักษาจะกระทำได้ก็โดยการอาศัยคนที่ยังหนุ่ม และความกล้าหาญเท่านั้น ถ้าเราต้องการอยู่รอดต่อไป เราต้องมีแต่คนหนุ่ม ถ้าเราต้องการกำจัดคอรัปชั้น เราต้องมีคนหนุ่ม และนี่เองคือความหวังของสังคม.."
ขบวนการ 2 พฤษภา ได้เริ่มขึ้นแล้ว
นักศึกษา 5000
คนจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
ได้ร่วมกันตั้งคณะกรรมการ
เรียกร้องให้นักศึกษาในที่ต่างๆ
มาร่วมมือกัน
ในที่สุดก็มีสภานักศึกษาสำหรับวางแผนและปฎิบัติงานให้เป็นไปตามนโยบาย
จุดหมายสำคัญคือโค่นรัฐบาล
ซึ่งมีรัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นอยู่
นักศึกษาประมาณ 10000 คน
ได้ไปชุมนุมกันที่
"ประตูสวรรค์สันติ"
หน้าพระราชวังฤดูร้อน
และตกลงเดินขบวนไปขอความช่วยเหลือจากทูตมหาอำนาจ
ประเทศแรกที่นักศึกษาเดินไปหาคืออเมริกา
แต่ถูกปฎิเสธ
โดยอ้างว่าวันอาทิตย์ไม่ควรมาปรึกษากิจการงาน
ความหวังในสันติวิธีดูจะไม่เป็นผล
ขบวนนักศึกษาจึงเดินไปบ้านรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม
ด้วยรู้ว่า 3
รัฐมนตรีที่นิยมญี่ปุ่นหลบซ่อนอยู่
โดยมีกำลังทหารตำรวจสกัดกั้นอยู่หน้าประตู
นักศึกษาจึงระดมขว้างปาด้วยก้อนหิน
เมื่อตำรวจใช้ปืนยิง
นักศึกษาจึงล่าถอยไปที่มหาวิทยาลัย
ปรากฎว่ามีผู้ถูกจับไป 32 คน
นักศึกษาได้เตรียมเดินขบวนบุกโรงพักตำรวจอีกถ้าไม่ปล่อยพวกที่ถูกจับไป
ในที่สุดตำรวจก็ยอมปล่อย
และนี่เองที่เป็นอาวุธสำคัญของนักศึกษา
สำหรับใช้ต่อรองกับรัฐบาล
ต่อมาสภานักศึกษาได้ประกาศหยุดงาน
ร้านค้าในปีกกิ่งปิดหมด
คนงานรถไฟก็หยุดทำงาน
และต่อมาคนงานในโรงงานต่างๆในปักกิ่ง
ก็เริ่มหยุดงานบ้าง
แล้วขยายไปเทียนสิน เซี่ยงไฮ้
นานกิง และฮันเค้า
ในที่สุดรัฐบาลซึ่งประกาศจะใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับนักศึกษาก็ยอมรับข้อเสนอ
แต่ปรากฎว่ารัฐนมตรีทั้ง 3
คนได้หลบหนีไปญี่ปุ่นเสียก่อน
ขบวนการ 4 พฤษภา
เป็นจุดเริ่มต้นของการร่วมมือระหว่างปัญญาชนกับกรรมกร
และแสดงให้เห็นถึงพลังของการรวมตัวในความเชื่อร่วมกัน
การปฎิบัติงานอย่างมีแบบแผนเป็นความสำเร็จอันดับแรกของเฉินตู้สิว
ก่อนที่เขาจะก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์
ร่วมกับลีต้าเจา
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ความคิดและความเชื่อเดิมของเฉินก็เริ่มสั่นคลอน
ประชาธิปไตยและวิทยาศาสตร์ดูจะห่างไกลความจริง
เมื่อดิวอี้มาบรรยายเรื่อง
"ปรัชญาสังคมและการเมือง"
และแสดงโครงสร้างของปรัชญาประชาธิปไตย
ดิวอี้ดูจะเข้าใจถึงปัญหาและความต้องการของจีน
เขาไม่พยายามยัดเยียดความเป็นตะวันตกให้
แต่กลับชี้ให้เห็นถึงเนื้อหาแท้จริงของตะวันตก
ในจุดนี้เองเฉินจึงมองเห็นความแตกต่างของทฤษฎีประชาธิปไตยกับสภาพความเป็นจริงในสังคม
บทความของเขาเรื่อง
"พื้นฐานความเข้าใจประชาธิปไตย" ที่ตีพิมพ์ในวารสารคนหนุ่มรุ่นใหม่
เดือนธันวาคม 1919 นั้น
เป็นการยอมรับข้อคิดของดิวอี้โดยสิ้นเชิง
เขากล่าวว่า
ความล้มเหลวของประชาธิปไตยจีนอยู่ที่การเข้าใจผิด
ว่าการบังคับใช้รัฐธรรมนูญจากเบื้องบน
จะมีผลให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยได้
แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้
"...ความจริงมีพลังที่จะสร้างกฎหมายได้
แต่กฎหมายไม่มีพลังที่จะสร้างความเป็นจริงได้..."
ประชาธิปไตยต้องเกิดขึ้นจากพื้นฐานของสังคมนั้นเอง
และจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป
ทุกหมู่บ้านทุกเมือง
การถกเถียงถึงระบบรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี
หรือแม้กระทั่งการรวมอำนาจหรือกระจายอำนาจ
ล้วนเป็นสิ่งหลอกลวงทั้งสิ้น
ตราบเท่าที่ประชาชนยังไม่มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบประชาธิปไตย
อย่าไปหวังอะไรจากพรรคการเมือง
ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเข้าใจในอธิปไตยของปวงชน
หรือกระทั่งจากนายพล
ซึ่งใช้ระบบคณาธิปไตยภายใต้ชื่อสาธารณรัฐ
เฉินตู้สิว
เริ่มจับปัญหาทางเศรษฐกิจ
เขาเริ่มให้ความสนใจความคิดของเลนินมากขึ้น
"ทฤษฎีจักรวรรดินิยม"
ของเลนิน
อธิบายถึงปัญหาของประเทศด้อยพัฒนา
การขูดรีดของประเทศนายทุนตะวันตก
และนี่เองที่อธิบายภาพการประชุมที่แวร์ซายส์ให้เฉินเห็นว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก
ขูดรีดผลประโยชน์จากจีน
เฉินตู้สิวจับปัญหาได้และมองหาทางออก
ดิวอี้เคยพูดว่าการแก้ปัญห่อยู่ที่
"การค้นหาวิธีที่มั่นคงเพื่อเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่หลวง
โดยคำนึงถึงกาลเทศะ"
เลนินเสนอว่า
มีแต่การปฎิวัติเท่านั้น
และต้องมีกลุ่มแนวหน้าภายใต้ระบบองค์การที่มีประสิทธิภาพ
แล้วพร้อมกันเดินไปหามวลชน
ปี ค.ศ.1920
เฉินตู้สิวประกาศเป็นมาร์กซิสต์-เลนินซิสต์
จากนั้นเขากับลีต้าเจาได้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน
การประชุมพรรคครั้งแรก
มีขึ้นเมื่อปลายเดือนมิถุนายน
ค.ศ.1921
โดยมีคณะกรรมการกลางพรรคเพียง 12
คน และหนึ่งในนั้นคือ เมาเซตุง
เมาเซตุง
<<< ย้อนกลับ