ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
กรอบแนวคิดที่ใช้ในการตีความ
แนวคิดการตีความแบบโรแมนติคของชไลมาเคอร์
วิธีการตีความแบบบุคลาธิษฐาน (Allegorical Method)
เทพ กับอสูร ในคัมภีร์อเวสตะของอิหร่าน
เทวาสุรสงครามในคัมภีร์พระเวท
เทวาสุรสงคราในวรรณคดีบาลี
ทัศนะเกี่ยวกับเทวาสุรสงคราม
เนื้อหาของจันทิมสูตร และสุริยสูตร
จันทิมสูตร กับสุริยสูตร กับบริบททางสังคม
จันทิมสูตรและสุริยสูตร : ไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริงทางอภิปรัชญา
ราหูอมจันทร์/อาทิตย์ : การแสดงธรรมแบบบุคลาธิษฐาน
สรุปและเสนอแนะ
อ้างอิง
แนวคิดการตีความแบบโรแมนติคของชไลมาเคอร์
ชไลมาเคอร์ (1768-1834) เป็นนักตีความคนแรกที่ไม่ชอบตีความคัมภีร์ในแนวภาษาอุดมการณ์ ที่ให้ความสำคัญกับภาษาในคัมภีร์ว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ สูงส่ง เป็นศูนย์รวมของสัจธรรม ที่นอนรอคอยให้นักตีความมาค้นพบ ลำพังการตีความในเชิงไวยากรณ์ เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำความเข้าใจคัมภีร์ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เขาพยายามที่จะทดลองตีความคัมภีร์แบบภาษาธรรมดาสามัญ โดยคำนึงถึงสิ่งที่เรียกว่า โรแมนติค หรือการตีความในระดับจิตวิทยา คือ การเดาใจผู้แต่งจากการรู้เบื้องหลังและสภาพจิตใจของผู้แต่งขณะแต่งเรื่องนั้น ๆ ทั้งนี้ต้องพิจารณาไปถึงบริบททางสังคมที่ผู้แต่งสังกัดขณะด้วย โดยพยายามปรับความรู้นึกคิดให้เหมือนผู้แต่งเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่อ่าน ผู้ตีความที่ดีคือผู้สามารถรื้อฟื้นกระบวนการคิดและเขียนของผู้แต่งขึ้นมาใหม่ให้ได้ เช่น เรื่องพระเจ้าสร้างโลก 7 วัน นักตีความจะต้องศึกษาจิตวิทยาของผู้เขียนและผู้อ่านในขณะนั้นว่ากำลังตกเป็นเชลยของกรุงบาบิโลนและกำลังอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เขามองต่อไปอีกว่า ทุก ๆ ครั้งที่มีการผลิตหรือแต่งคัมภีร์ขึ้นมา ผู้แต่งจะดำเนินตามระบบกฎเกณฑ์ชุดหนึ่ง และบัญญัติทางสังคม เกี่ยวกับภาษา กาลเวลา และวัฒนธรรมที่อยู่ในยุคสมัยของเขา โดยไม่สำนึกรู้และกึ่งสำนึกรู้ ดังนั้น ก่อนที่จะลงมือตีความคัมภีร์ ผู้อ่านหรือนักตีความ ซึ่งส่วนมากจะมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากผู้แต่ง จะต้องสร้างกฎเกณฑ์หรือบัญญัติเหล่านั้นขึ้นมาใหม่ แล้วทำกฎเกณฑ์หรือบัญญัติเหล่านี้ให้อยู่ในการสำนึกรู้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยนัยนี้ จึงถือว่า ผู้อ่านหรือนักตีความอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบผู้แต่งมาก เพราะสามารถจะทำให้กฎเกณฑ์หรือบัญญัติทางสังคมเหล่านี้อยู่ในการสำนึกรู้ได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนั้น ชไลมาเคอร์ ยังเปรียบการเข้าหาคัมภีร์ของผู้อ่านว่า
เหมือนบุคคลผู้อยู่ในวงสนทนา เดียวกันกับผู้แต่งคัมภีร์ ในวงสนทนานั้น
ประกอบด้วยผู้พูด กับผู้ฟัง ผู้พูดก็คือผู้ประพันธ์หรือผู้แต่งคัมภีร์ ส่วนผู้ฟังก็คือผู้อ่านหรือผู้ตีความคัมภีร์ ในขณะที่กำลังร่วมวงสนทนากันนั้น ผู้พูดพยายามที่จะอธิบายแนวคิดของตนให้ผู้ฟังเข้าใจ โดยใช้ถ้อยคำหรือภาษาร่วมยุคสมัยและวัฒนธรรมเดียวกันกับผู้ฟัง ในขณะเดียวกัน ผู้ฟังก็สามารถเข้าใจถ้อยคำและเจตนารมณ์ของผู้พูดได้ เพราะเป็นผู้มีส่วนร่วมในระบบภาษา ระบบวิธีคิด และสถานการณ์เดียวกันกับผู้พูด แนวคิดของชไลมาเคอร์ สามารถสร้างภาพแผนภูมิ ได้ดังนี้
จากภาพแผนภูมิ จะเห็นว่า ทั้งในด้านผู้แต่งและผู้ตีความ จะมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ หรือข้อบัญญัติทางสังคมทั้งในรูปของภาษาและวัฒนธรรมเป็นตัวคั่นกลาง หมายความว่า ผู้แต่งคัมภีร์ได้สร้างคัมภีร์ขึ้นบนพื้นฐานของกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในยุคสมัยของตน โดยที่ผู้แต่งเองไม่ได้ตระหนักรู้หรือกึ่งตระหนักรู้ถึงอิทธิพลของระบบกฎเณฑ์เหล่านั้น
ในส่วนของนักตีความคัมภีร์ เนื่องจากตัวเองอยู่ในยุคสมัยที่แตกต่างจากยุคของผู้แต่ง
ดังนั้น การที่จะความเข้าใจความหมายและเจตนารมณ์ของผู้แต่งได้อย่างถูกต้อง
จะต้องสร้างระบบกฎเกณฑ์เหล่านั้นขึ้นมาใหม่ แล้วทำให้อยู่ในการสำนึกตระหนักรู้ของตนอย่างสมบูรณ์ โดยทำตัวประหนึ่งว่าได้อยู่ร่วมในวงสนทนาเดียวกันกับคนแต่ง