ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
สาเหตุที่มนุษย์มีการแต่งกายแตกต่างกัน
การแต่งกายไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดี
การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของการใช้เสื้อผ้าในแต่ละยุคสมัย
การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของการใช้เครื่องประดับในแต่ละยุคสมัย
การแต่งกายของชาวเขาในประเทศไทย
การแต่งกายชาวเอเซีย
การแต่งกายชาวตะวันออกกลางและยุโรป
การแต่งกายของยุโรปตอนเหนือ
แนวความคิดในการออกแบบเครืองแต่งกายจากสมัยต่าง ๆ
การแต่งกายของยุโรปตอนเหนือ
THE NORTHERN EUROPEANS CUSTOMES
การแต่งกายอิตาเลียนสมัยกลาง (Gothic)
เป็นช่วงระยะเวลาระหว่างศตวรรษที่ 10, 11 และ 15 เป็นช่วงที่อาณาจักรโรมันเสื่อม
อำนาจลงและหมดยุคของ Constantinople ใน ค.ศ. 1453 การแต่งกายของชายหญิง ยังคง
คล้ายกับสมัย Byzantine ซึ่งสีและแบบของเสื้อผ้าจะได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของพระ
ตอนแรกผู้ชายจะสวมชุดทูนิคแขนยาว ตัวยาวถึงเข่าเรียกว่า Bliaud ส่วนผู้หญิงสวมชุด
แบบเดียวกันยาวถึงข้อเท้า จะใส่เสื้อคลุมที่เรียกว่า Pallium มีเข็มกลัดกลัดไว้ ผู้ชายจะใส่ถุงน่อง
ยาวรัดรูปเรียกว่า Stockings ซึ่งได้แบบมาจากตอนเหนือของบาบาเรียน ถุงน่องยาวจะยึดกับ
เข็มขัดที่คาดเอว ซึ่งสายนี้จะคาดไขว้มาจากใต้เข่า ต่อมาผู้ชายก็เปลี่ยนมาใส่ Bliaud ยาวถึงหน้า
แข้ง
ศตวรรษที่ 11 มีชุดชั้น ในเรียกว่า Chainse ที่ทำจากผ้าขนสัตว์ ลินิน ป่าน หรือไหม
ซึ่งจะใช้เป็นกระดุมหรือผูกเชือกติดที่คอ ใช้ใส่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่อมา Chainse ได้กลายมา
เป็นชุดชั้น ในที่เรียกว่า Lingerie ซึ่งทำจากผ้าแพรบางสามารถซักได้ และมีประดับตกแต่งด้วยลูกไม้
บริเวณรอบคอและข้อมือ แล้วสวม Bliaud หรือชุดทูนิคยาวถึงพื้น ทับ ซึ่งใส่ได้ทั้งปล่อยตรง ๆ หรือ
ใช้เครื่องรัดเอวที่ตกแต่งด้วยเพชรอีกทีก็ได้ ชุดนี้จะมีแขนยาว ผ้าจะมีการแตกต่างหรูหรามาก
ถ้าหนาวจะมีการตกแต่งชายเสื้อ หรือแนวเส้นตะเข็บต่าง ๆ ด้วยขนสัตว์ที่เรียกว่า Ermine
ส่วนในศตวรรษที่ 13 ผู้ชายจะสวมชุดทูนิคที่สั้น มากเหนือเข่าขึ้น มา บางทีก็ใส่ตรงหรือไม่
ก็คาดเข็มขัด โดยจะมีชายเหลือต่ำจากเอวประมาณ 2-3 นิ้ว ใส่ถุงน่องยาวถึงสะโพกสีแดงและ
ประดับด้วยทองและเพชร สวมรองเท้าหนังนิ่ม ๆ
ผ้า ใช้ผ้าลินินจะย้อมด้วยสีแดงเลือดหมู เขียว นำ้เงิน และม่วงแดง ผ้าทอยกดอกและ
ผ้ากำมะหยี่ปัก ซึ่งในศตวรรษที่ 12, 13 ชาวซิซิลีจะทอผ้าไหมยกดอกได้สวยที่สุดในโลก แต่ผ้า
ขนสัตว์ก็ยังใช้อยู่
ชุดไว้ทุกข์ใส่ทูนิคสีดำและเสื้อคลุมเป็นแถบสีขาว ผู้หญิงจะสวมชุดสีขาวใส่หมวกแก๊บ
และมีผ้าคลุมไหล่
เพศชายที่สูงอายุจะสวมที่คลุมศีรษะที่เรียกว่า Liripipe มีลักษณะเป็นทั้งที่คลุมศีรษะ
(Hood) และคลุมไหล่ด้วย ด้านหน้าจะมีส่วนยื่นออกมาคล้ายปีกหมวก แล้วสวมใส่จะปิดคอ
หรือแขน หรืออาจจะปล่อยลงไปทางด้านหลังก็ได้ ต่อมาวิวัฒนาการเป็นผ้าจีบและม้วนบนหมวก
ลักษณะเหมือนหมวกแขก เรียกว่า Roundlet
ผู้ชายจะใส่หมวกเป็นรูปครึ่งวงกลม ขอบหมวกจะม้วนขึ้น และมีขนนกยาวจะสวมทับ
บนผ้าคลุมศีรษะอีกที
ในศตวรรษที่ 14 ผู้หญิงมีการใช้เครื่องรัดทรง สวมเสื้อกระโปรงเป็นชุดติดกัน ตัวกระโปรง
มีจีบรูดพอง มีการตกแต่งด้วยลูกไม้ด้านหน้าตามแนวตะเข็บเปิดด้านหน้า เป็นรูปแบบของการ
เน้นรูปร่างทรวดทรงให้เห็นลักษณะเส้นกรอบนอก (Silhouette) ของรูปร่าง
ในยุคกลางนี้ การคลุมศีรษะของสตรีเป็นสิ่งที่สำคัญจะคลุมด้วยผ้าฝ้ายหรือไม่ก็ผ้าลินิน
จะเป็นผ้าสี่เหลี่ยมหรือวงกลม จะคลุมไหล่แล้วปล่อยเป็นหางตํ่าลงมา เหมือนกับการห่มแบบ
Palla เรียกว่า Headrail หรือ Wimple แล้วใส่มงกุฎทับอีกที ซึ่งเป็นเครื่องแสดงยศฐาบรรดาศักดิ
จนกระทั่วถึงศตวรรษที่ 16 หมวกมีลักษณะการใช้ผ้าลินินสีขาวพันใต้คางและรอบศีรษะ ที่เรียกว่า
Chinband ผมทรง Madonal Style คือเป็นทรงแสกกลางแล้วปล่อยยาวลงไปก็เป็นที่นิยมกัน
หมวกที่ใช้ก็มีหลายรูปแบบ เป็นแบบ Hood หรือ Chaperon แบบ Chinband แบบ
Wimple เป็นการใช้ผ้าคลุมศีรษะถึงคอ ใช้ Net คลุมผม หมวกอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Hennin
เป็นหมวกลักษณะเหมือนภูเขาสูง 2 ลูก และมีผ้าบาง ๆ คลุมเวลาสวมใส่
รองเท้าจะใช้ผ้ากำมะหยี่ปักด้วยเพชรนิลจินดาสีต่าง ๆ หุ้มถึงข้อเท้า ต่อมานิยมใช้หนังอ่อน
นุ่มแทน รองด้วยไม้หนาเหมือนเกี๊ยะเรียกว่า Chopine สวมถุงมือทำด้วยหนังปักด้วยเพชรนิล
จินดา
ในสมัยกลาง เสื้อผ้าจะมีราคาแพง หรูหรามาก เครื่องประดับต่าง ๆ จะเป็นเพชรนิลจินดา
เป็นทองรูปพรรณ
การแต่งกายของชาวอิตาเลียนสมัยกลางรูปแบบหนึ่ง
อิตาเลียนสมัยฟื้นฟู (Italian Renaissance)
สมัยฟื้นฟูเป็นช่วงสมัยในศตวรรษที่ 13, 14 จนกระทั่งถึงต้นศตวรรษที่ 15 และรุ่งเรืองมาก
ในประมาณกลางศตวรรษ ประมาณ ค.ศ. 1500
ในประเทศอิตาลี การแต่งกายมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะมีผลต่อการแต่งกายของชาย
มากกว่าหญิง ซึ่งเรียกว่า Conventional Style
การแต่งกายของชายประกอบไปด้วยเสื้อ
เชิ้ต 1 ตัว ใส่ Tunic หรือไม่ก็ใส่เสื้อ รัดรูป
(Doublet) กับกางเกงรัดรูป (Hose) มีเสื้อคลุมทับ Doublet เรียกว่า Pourpoint
เสื้อเชิ้ต นั้น จะตัด
จากผ้าลินินที่ทำให้มีความพองมาก ๆ และรวบไว้ที่รอบคอและรอบข้อมือ คอเสื้อจะมีทั้งคอกลม
และคอวี และคอสี่เหลี่ยม ซึ่งมีมาก่อน ค.ศ. 1500-1525 เป็นลักษณะที่มีระบายเล็ก ๆ โดยรอบ
ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นแบบ Ruff (เป็นรอยพับ) ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 และเสื้อรัดรูป
เปลี่ยนเป็นใช้ Tunic ชนิดสั้น แล้วสวมเสื้อนอกมีแขน ปลายแขนแคบ โคนแขนพองรัดเป็นปล้อง ๆ
ทำตอนบนของแขนให้พอง
เสื้อคลุมค่อนข้างสั้น คลุมชุด Tunic ที่มีลักษณะหลวมและมีเข็มขัดรัดไว้มีจีบรูด คอเสื้อ
กลมหรือเหลี่ยม มีแขนยาว แขนเสื้อสามารถถอดออกจากตัวเสื้อได้
เสื้อคลุมของชายจะผ่าหน้าตลอด มีความยาวต่างกัน มีแขนยาว มีปกหรือไม่มีก็ได้ ใช้ผ้า
อย่างดีหรือขนสัตว์ เสื้อคลุมมีทั้งสั้น และยาว ใช้ผ้าวงกลมตัด มีความกว้างมากใช้คลุมจากไหล่
ทั้ง 2 ข้าง ผู้ชายสวมถุงน่องรัดรูปสีหลายสี รวมผูกไว้กับปลายขากางเกง กางเกงเป็นกางเกงขาสั้น
ทรงกระบอก รูปปลายขาและตกแต่งให้โป่ง ใช้ผ้าไหมปักดอกและนิยมเจาะกางเกงให้เห็นผ้ารองใน
ต่อมาเปลี่ยนกางเกงมาเป็นกางเกงขายาวแค่เข่า หรือรวบปลายขาไว้มีริบบิ้น ผูกเรียกว่า Venetians
ผู้ชายไว้ผมยาวประบ่า มีผมปกหน้าผาก สวมหมวกใบเล็ก ๆ คล้ายมงกุฎตกแต่งด้วย
ขนนก เพชร พลอย มีชาวอิตาเลียนได้คิดประดิษฐ์หมวกที่ทำจากผ้ากำมะหยี่ สักหลาด ไหม
ตัดเป็น รูปวงกลม ร้อยเชือกโดยรอบผูกพอดีศีรษะ เหลือไว้เป็นโบว์เล็ก ๆ บนหมวกจะประดับ
เพชร นิล จินดา พลอย ต่อมามีการตกแต่งด้วยลูกไม้บริเวณริมขอบหมวก
รองเท้าผู้ชายเป็นรองเท้า Boot ใช้ผ้าผูก เครื่องเกาะเกี่ยวส่วนมากจะทำจากโลหะ
เครื่องแต่งกายของผู้หญิง ใช้เสื้อผ้าหรูหรามาก ใช้ผ้าทอยกดอกเป็นกำมะหยี่หรือใช้ผ้าซาติน
ปักมุก และทอง เป็นสมัยที่เรียกว่า Pearl age การแต่งกายหญิงจะใส่เสื้อลักษณะคล้ายกัน คือ
สวมเสื้อคอกลม คอวี และคอเหลี่ยม ต่อมานิยมใช้ปกตลบได้ และวิวัฒนาการมาเป็นจีบรอบคอ
มีการเจาะและแทรกผ้า สลับสีให้ตัดกัน ตามชายแขนเสื้อตกแต่งด้วยระบาย ตัวเสื้อจะมีเครื่องรัดอก
และเอวให้ดูเล็ก เรียกว่า Corset กระโปรงจะจีบรูดพอง แล้วมีเสื้อคลุมไม่มีแขนคลุมอีกทีหนึ่ง
รองเท้าเริ่มใส่รองเท้าส้นสูง ทำด้วยผ้าหรือหนังเจาะ
เครื่องประดับ ต่างหู ประดับด้วยเพชรพลอย มีเข็มขัด ทองเงิน เข็มกลัด นิยมถุงมือ ทำ
จากผ้าไหม กำมะหยี่ปักด้วยเพชรนิลจินดา นิยมใช้น้ำหอมที่ใช้กันในยุโรป
BYZANTINE (บาเซ็นไทน์)
สมัยแขกมัว (Moorish or Saracenic Spain)
สมัยฟื้นฟูของสเปน
อิตาเลียน
อังกฤษ
ฝรั่งเศส