ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
ปลาไม่เห็นน้ำ
2
เรื่องทิฏฐิมานะของคนนั้น
ถ้าจะเทียบแล้วจะย้ายภูเขาลูกนี้ไปไว้ที่อื่นก็ยังง่ายกว่า
หรือทำให้มันราบเหมือนแผ่นดินก็ยังง่ายกว่าเป็นอย่างนั้น
หรือจะเปรียบให้ฟังอีกง่ายๆ
ก็เหมือนพ่อกำนันนี่แหละ สร้างบ้านขึ้นหลังหนึ่งเสร็จเรียบร้อย อยู่มาได้สัก 10
วัน หรือเดือนหนึ่ง อย่างนี้ มีคนหนึ่งพูดว่า พ่อกำนันบ้านหลังนี้รื้อเสียเป็นไง
ชวนรื้อบ้านหัวขาดก็ไม่รื้อใช่ไหม? ทำไม่ล่ะ
ก็บ้านเราเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ๆใครจะยอมรื้อ
อีกอย่างหนึ่งก็คงจะยังคิดว่าเพื่อนพูดเล่นอยู่อีกนะ
ยังจะนึกว่าคนนั้นมันบ้าหรือไง บ้านเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ มาชวนรื้อ
ยังนึกว่าเขาพูดเล่นอยู่อีก ทิฏฐิมานะก็เหมือนกัน เช่นอันนี้มันผิดเลิกเสียนะ
โอ๊ย.....ไม่ได้ ถ้าสิ่งใดมันชอบสิ่งใดมันติดแล้ว ไม่กล้าละไม่กล้าถอน
ติ๊ดอยู่นั้นแหละ....ยาก ไม่ได้ง่ายๆ ทิฏฐิมานะมันติดมันแน่น
มันลึกมันซึ้งเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเห็นผิดเป็นชอบ
พูดให้ฟังไม่เห็นละถอนไม่ได้ง่ายๆคือมันไม่เห็นนั่นเองถ้ามันเห็นแล้วมันก็ง่าย
แต่นี่มันไม่เห็น เรื่องคนไม่เห็นอยู่ไกลมันก็ไม่เห็น อยู่ใกล้มันก็ไม่เห็น
อยู่ในลูกตานี้มันก็ยังไม่เห็น มันจึงเป็นของยากเป็นของลำบากหลาย
ที่พระท่านสอนก็เพื่อให้ละทิฏฐิมานะ ที่ยึดไว้ถือไว้ของไม่แน่นอน อาตมาจึงอยากจะขอกับญาติโยม ขอไม่มากหรอกขอเพียงว่า ถึงจะละความผิดก็ได้ก็ไม่ว่า แต่ขอให้รู้จักให้รู้จักว่าอันนี้มันผิดอันนี้มันถูก แค่นี้เสียก่อนให้รู้จักจริงๆเท่านี้...อาตมาก็ดีใจแล้ว ให้รู้จักจริงๆ ไม่ใช่รู้เล่นๆ เท่านี้ก็ได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าคนรู้ว่าอันนี้มันผิดอยู่ในใจของเขาแล้ว ทำอะไรมันก็รู้ว่าผิดใจมันบอกทำเมื่อไรมันก็บอกว่าอันนี้มันผิด มันทวงไม่หยุดอย่างนี้ ทำตอนไหนก็ผิด เห็นอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็หยุดเองอันนี้ไม่ได้ถามตัวเองสักที มันจึงไม่เห็นชัด มันไม่เห็นชัดอย่างนั้น เช่นเรากินเหล้าอย่างนี้ พอยกแก้วขึ้นมา ก็บอกว่า....บาปนะแต่ก็ยังกินอยู่เพื่อนชวนกินในสังคมอย่างนี้ก็กินไปพอยกแก้วขึ้นตอนไหนก็บอกว่าบาปไม่เห็นว่ามันผิดทันทีมันเลยขวางกันไปกับใจพวกเรายกขึ้นครั้งใดก็นึกอยู่เสมอว่าหลวงพ่อท่านว่ามันบาปนะ ไม่เฉพาะแต่ท่านว่า เห็นคนอื่นกินก็เห็นว่ามันเป็นบ้าเป็นบอเห็นว่ามันผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็กิน แต่ก็ยังคิด เอ๊า เอาแค่นี้ไม่เอาอีกแล้ว เดี๋ยวเขาก็ยกมาให้อีก เอ๊า....ลุงนี้ของหลานนะ เอาสักนิดทั้งๆที่รู้ว่ามันผิดอยู่กินตอนไหนก็รู้ว่ามันผิดอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ประเดี๋ยวมันก็หยุด ไม่หยุดก็ไม่ได้ เพราะมันรู้อยู่ว่ามันผิดอย่างนี้
การฆ่าสัตว์ก็เหมือนกัน
เห็นอยู่ว่าฆ่าเขามันบาปแต่ก็ไม่หยุด ไม่หยุดก็ตามแต่ให้มันเห็น อันนี้
อาตมาเคยพบมาจึงมาพูดให้ฟัง เราสร้างบารมี คือเราฟังแล้วมาพิจารณาใจของเรา
เช่นเราไปจับกบแต่ก่อน พอจับได้หักขามันทันที แต่พอบอกว่ามันบาปนะโยม...
ได้คิดหักขาเขาก็เหมือนหักขาเราเหมือนกัน ถ้าคิดให้ดีๆ
เมื่อไปพิจารณาดูเลยรู้ขึ้นมาที
หลังได้กบมาใหม่ไม่หักขา กลัว....มันกลัว มันลดลงมา
ไม่หักขาแต่เอามาใส่ข้องไว้นั้นแหละ เอามาบ้านให้แม่บ้านทำ
คิดอย่างนี้ก็ทำไปเรื่อยๆ จับกบมาใส่ข้องทีไรก็ไม่หักขาล่ะทีนี้
ได้แล้วขั้นหนึ่ง คือไม่หักขากบ แต่ก็เอามาเหมือนเดิมนั้นแหละ ทำอยู่อย่างนั้น
คิดไม่หยุด นึกไปนึกมา ว้า....เว้ย....อันนี้มันก็ยังไม่ถูกมั้ง....ไม่หักขาแต่ก็ยังเอามาให้เขา
มันก็จะเถียงกันอยู่ในใจนั่นแหละ เถียงไปเถียงมาเอาไปเอามา มันสร้างบารมี
นึกไปนึกมาก็ยิ่งถูก ว่ามันผิดอยู่เกรงอยู่ กลัวอยู่ แต่ไม่หยุดแต่ก็คิด
อันนี้ก็เป็นเหตุประเดี๋ยวก็หยุด บางทีก็หยุดไม่มากหยุดเฉพาะวันพระ
มันห่างแล้วทีนี้ หยุดแต่วันพระ วันไม่พระก็ยังเอาอยู่ ทำไปปฏิบัติไป
แต่กลัวอยู่ติดอยู่ ทำไมหยุดมันก็มีความรู้เกิดขึ้นมาว่า
วันพระหรือไม่พระมันก็คงเหมือนกันละมัง มันสอนอยู่อย่างนี้
จิตเราถ้ามันเห็นแล้ว นั่งอยู่ก็สอน เดินอยู่ก็สอนสอนว่ามันผิด....มันผิด...อยู่อย่างนี้
ผลที่สุดมันจู้จี้มากมันก็หยุดเท่านั้นเอง
สำหรับการสร้างบารมีอาตมาถึงว่า พ่อออกเอ๊ย..รักษาศีลนะรักษาไม่ได้อย่าไปว่านะ ครับกระผมจะพิารณาจะพยายาม นี้คือการเปิดประตูเอาตนเองออก ถ้าคิดว่าไม่ได้หรอกครับ นี่คือการปิดประตูไม่มีหนทางจะออกคำว่าไม่ได้คือเราไม่เคยคิดว่าจะออก ถ้าบอกว่ากระผมจะพยายามครับ นี้ยังพอมีหนทาง คำพูดอันนี้เป็นคำพูดออกมาจากจิตใจ ว่าจะพยายามก็พยายามจริงๆ นี้คือ การสร้างบารมีทางด้านจิตใจของเราทำ อะไรก็รู้อยู่เห็นอยู่ว่ามันถูกมันผิด มันเปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่นานหรอกโยม นี้เรียกว่าการสร้างบารมีทางจิต เห็นไป...เห็นไป ความเห็นมันก็แก่ขึ้นกล้าขึ้น บารมีมันกล้าขึ้น เพิ่มขึ้นอันนี้มันก็เลยมากขึ้น กิเลสมันก็น้อยลง เพราะบารมีมันมากขึ้น เปรียบประหนึ่งว่าเราทุกคนที่นั่งกันอยู่นี้ สมัยก่อนเราเป็นเด็กเล็กๆ ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ ถามว่าเด็กเล็กมันหายไปไหน? มันไม่หายไปไหนหรอก คือเด็กน้อยเป็นเหตุให้เราใหญ่เวลาเราโตเด็กมันก็เลยหายไปเด็กไม่มีผู้รู้ไปไหนกลายมาเป็นผู้ใหญ่ เลยไม่มีเด็กน้อย จิตใจของเราก็เช่นกันถ้าความรู้เกิดขึ้นความไม่รู้มันก็หายไป ทิ้งไป เหมือนกับเรานี้แหละ แต่ก่อนก็เป็นเด็กแต่พอโตขึ้นมาเด็กก็ไม่มี มันไปไหนล่ะ มันไม่ได้ไปไหนหรอก อยู่ตรงนั้นแหละ คือมันหนีจากเด็กแล้วมาเป็นผู้ใหญ่ มันฆ่าของมันเองหรอกหรือว่าไง? หรือเราคิดว่าเด็กมันไปไหน เด็กน้อยมันวิ่งไปภูเขาโน้นหรือมันไปไหน? หือ...คิดให้คักๆ (ดีๆ) เด๊อ.... นี้เรียกว่าการพิจารณา การสร้างบารมี แต่ก่อนเด็กน้อยมันอยู่กับเราแต่ว่ามันใหญ่มันก็เลยไม่มี มะม่วงก็เหมือนกัน มันเป็นดอกก่อน เวลาเป็นลูกดอกมันไปไหนมันก็มาเป็นลูกนั้นแหละเวลามันเล็กมันก็ยังไม่ใหญ่เพราะอะไร? เพราะมันคา (ติด) ลูกเล็กอยู่ ถ้าอยู่ไปนานนาน ใหญ่ก็ปรากฏขึ้น เล็กก็ค่อยหายไป ใหญ่ขึ้นมามันก็ห่ามผลดิบมันก็หายไป พอถึงเวลามันสุกแล้ว ผลห่ามผลเล็กดอกมันไปไหน เวลามันหวานความเปรี้ยวมันไปไหน? เวลาเปลือกมันเหลืองความเขียวมันไปไหน? มันเข้ามารวมกันที่มะมวงใบเดียวกันทั้งหมดผลน้อยก็มารวมที่ผลใหญ่รสเปรี้ยวก็มารวมที่รสหวาน สีเปลือกที่เขียวๆ ก็มารวมที่สีเหลืองๆ ของมัน ไม่ใช่มันวิ่งไปไหนมันรวมกันที่เดียวทั้งหมด แต่พวกเราไม่รู้จักไม่ได้พิจารณา ไม่ได้พิจารณาอย่างไร มะม่วงใบนี้เมื่อมันสุกมาแล้วเราจับขึ้นมา ยกขึ้นมา ไม่ได้เข้าใจว่าเรายกต้นมะม่วงยกกิ่งมะม่วงยกรสมะม่วงกลิ่นมะม่วง ไม่เคยเห็น ความเป็นจริงแล้วเวลาเราจับมะม่วงขึ้นมากิน ก็คือเรายกขึ้นมาทั้งต้น ทั้งผลทั้งเมล็ด แต่ในเวลา มันเห็นไม่ได้เพราะมันละเอียดมาก เมื่อเวลาเราเอาไปฝังลงบนดินให้มันถูกสัดส่วนของมัน มันจะถอดลำต้นถอดใบขึ้นมา แล้วเกิดกิ่งขึ้น เกิดดอกออกผล เกิดรสเกิดชาติขึ้นมา แต่ว่าเวลากินมะม่วงเราไม่เห็นเพราะอะไร? เพราะเราไม่ละเอียด มันจึงไม่เห็น เวลาเอาไปปลูกถึงจะเห็นว่าโอ้.... ที่แท้เราแบกต้นมะม่วงกินอยู่แต่ไม่รู้จัก
ความหลงของสัตว์ก็เหมือนกันฉันนั้น มันเป็นอย่างนั้น พระพุทธองค์ท่านจึงให้สร้างบารมี บารมีก็คือคุณธรรมอันยวดยิ่ง สร้างบารมีทางจิตใจให้พิจารณาให้ภาวนาภาวนาก็คือการพิจารณาเหมือนเราจับเอามาตัด ต้องรู้ว่าตัดตรงนี้มันจะสั้นไปไหมหนอ หรือจะยาวไปไหมหนอ...นี้คือภาวนาล่ะ ไม้นี้มันจะใหญ่ไปหรือมันจะเล็กไปหนอ....พิจารณาว่าจะตัดตรงไหน
ความจริงทุกคนต้องภาวนา แต่เราไม่รู้เรื่องของเจ้าของถ้าเราพิจารณาเหตุพิจารณาผลแล้วเราก็ทำความชั่วไม่ได้ไม้ถ้าเราพิจารณาแล้วตัดไม่ผิด ถ้าพิจารณาไม่ออกเอาตลับเมตรมาวัดดู ได้ห้าเมตรหกเมตรตามที่เราต้องการค่อยตัดไม่ผิด นี้เรียกว่าการภาวนาทุกอย่างให้ได้ภาวนา
พระพุทธองค์ท่านจึงสอนว่า การให้ทานร้อยครั้งไม่เท่ารักษาศีลครั้งหนึ่ง รักษศีลร้อยครั้ง ไม่เท่าภาวนาครั้งหนึ่ง ภาวนานี้มันละเอียด เพราะภาวนานี้มันถึงจิต มันปล้อนสารพัดอย่างออกมาได้ เห็นในจิตตนเอง ถ้าเห็นในจิตตนเองแล้ว ต่างจากคนที่ไม่เห็นเหมือนกันกับเราไปเห็นหมูป่าหรืออีเก้งด้วยตนเอง กับการที่เราได้ยินเขาพูดให้ฟังว่าหมูปาเป็นอย่างนี้นะ อีเก้งเป็นอย่างนี้นะ เท่านี้ก็มีความรู้ต่างกันแล้ว ถ้าเราเห็นชัดเจนว่าลักษณะหมูป่าเป็นอย่างนี้ใครมาพูดให้ฟังถูกหมด ตลอดรูปร่างสัณฐานของมันตลอดขนมันขามันแเข้งมันสารพัดอย่าง เราจะมีความสามารถพูดได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่ถ้าเราไม่รู้ ได้ยินเขาพูดว่าหมูป่านะก็จะมีปัญหาว่าหมูป่ามันเป็นอย่างไร? อธิบายไม่ถูกเดี๋ยวเขาก็จะสวนกลับมาว่า มึงไม่รู้จักหมูหรือไงว่ะ....ถ้าเราเห็นจริงๆ แล้ว สามารถอธิบายได้ พูดได้เต็มปาก เพราะทางจิตมันเห็นมันเป็นอย่างนั้นการภาวนามันแจ้งขาวกว่ากันสิ่งที่เราเอาไปนั้นมันไม่มีอะไร เราเห็นชัดเจนแล้ว เรื่องมันเป็นวัตถุเป็นเรือนชานบ้านช่องทรัพย์สมบัติต่างๆ ที่เรียกว่ของเรานั้นก็จริงอยู่แต่จริงโดยสมมุติ เป็นของสมมุติ
อาตมาเคยไปสำรวจตรวจสอบดู ทายกทายิกา พากันอยากได้วัด ร้องขอเอาวัดไปให้แล้วไม่รู้พากันทำขนาดไหนไปเยี่ยมดูไปสำนักไหนก็มีความรู้สึกว่าเหมือนกับหิ้วของหนักพากันแบกของหนัก แบกไปแบกไปมันหนักมาก นึกแต่จะปลงจะวาง มันเหนื่อย....สร้างคุณงามความดีนี้กำลังมันไม่พอมันมีความขี้เกียจมักง่าย ไปที่ไหนๆก็เหมือนกัน ตลอดจนพระเจ้าพระสงฆ์เหมือนกันกับแบกของหนัก มันทุกข์...เมื่อมันทุกข์ ความรู้สึกในใจก็มีแต่อยากจะปลงจะวางอยากปล่อย.... กำลังใจไม่มาก เหมือนคนกำลังไม่มากแบกของหนักคอยแต่จะปลงแต่จะวาง พวกประพฤติธรรมะก็เหมือนกัน ผู้ยังไม่ถึงธรรมยังไม่บรรลุธรรม มันก็อยู่ในความทรมานหิ้วไปดึงไป แต่ก็ยังดี ยังดีกว่าบุคคลที่ยังไม่ได้แบกของ ยังไม่เคยได้ของ ดีกว่า...มีความอดทน
การปล่อยวาง
จิตที่ตื่นรู้
ตามดูจิต
สมถวิปัสสนา
บัว 4 เหล่า
ธาตุ 4
มรรค 8
ทางพ้นทุกข์
บ้านที่แท้จริง
ฝึกจิตให้มีกำลัง
ตุจโฉโปฏฐิละ
การทำจิตให้สงบ
อ่านใจธรรมชาติ
สองหน้าของสัจธรรม
ทางสายกลาง
ธรรมะกับธรรมชาติ
นอกเหตุเหนือผล
อยู่กับงูเห่า
ภาวนาพุทโธ
อยู่เพื่ออะไร
อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย
ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย
ปลาไม่เห็นน้ำ
สงบจิตได้ปัญญา
สมาธิภาวนา
ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย