ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
ปลาไม่เห็นน้ำ
3
คณะอุบาสกอุบาสิกาที่เป็นฆราวาส
ความเป็นจริงอยากให้รู้จักหน้าที่การงานของเจ้าของไว้ ทุกๆ คน
เพราะว่ามันไม่มีอะไร ไม่มีอะไร จะได้จะดี
ไม่มีอะไรที่จะเป็นแก่นเป็นสารสักอย่างหนึ่ง ที่มันเป็นแก่นเป็นสารท่านให้ภาวนา
เพื่อให้มันบรรลุถึงความพ้นทุกข์ทั้งหลายเมื่อเฒ่าแก่มาแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรหรือใครว่ายังไง?
หมดราคาสภาวะแห่งกายนี้หมดราคา ก้อนฟูมันไม่เที่ยงมันเปลี่ยนไป...เปลี่ยนไปทางจิตใจที่เรียกว่านานมันก็ไม่เหมือนเก่า
แต่ว่า เลี้ยงคนโดยธรรมะนั้นเลี้ยงยากมากนะ เลี้ยงลูก
เราเอาข้าวเอาน้ำให้มันกิน มันก็รู้จักใหญ่ รู้จักโต
เลี้ยงโดยภาษาธรรมให้อาหารธรรม ให้คนใหม่ในธรรม ให้คนดีในธรรม
ให้คนมีกำลังในธรรมยาก... ลำบากแท้ๆปฏิบัติไปจนเฒ่าจนแก่ก็ยังไม่โต
ยังน้อยยังไม่ใหญ่ มันใหญ่แต่ร่างกาย ร่างกายเราให้อาหารมันกินมันก็ใหญ่
ใหญ่ทางเนื้อทางหนัง ธรรมะความรู้ทางจิตใจมันไม่ใหญ่
ความเป็นจริงการปฏิบัตินักบวชก็ดี เป็นฆราวาสวิสัยก็ดี....นะ....
พวกเรามาอบรมกันตั้งหลายปี
ตั้งแต่เด็กจนเฒ่าจนตายก็ยังไม่ใหญ่นะกำลังธรรมะมันน้อย กำลังธรรมะไม่มาก
ไม่เห็น เหมือนกันกับปลา ปลาอยู่ในน้ำ มันไม่เห็นน้ำ อันนี้ก็จริง
อยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ
อันนี้เราอยู่กับกองธรรมอยู่กับพระไตรปิฎกไม่ได้อ่านพระไตรปิฎก
ถึงอ่านพระไตรปิฎกก็ไม่ได้เข้าใจในพระไตรปิฎก
ในข้อความอันนั้น เราอยู่กับกองกาย กองรูปกองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร
กองวิญญาณ และสวดด้วยเรียนด้วย แต่ไม่เห็น พูดอยู่ สวดอยู่ แต่ไม่เห็น
จึงเหมือนกับปลาดำอยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ ก็เหมือนกับ
พวกเราทั้งหลายพูดธรรมะอยู่แต่ไม่เห็นธรรมเพราะว่ามันมีอะไรปิดบังไว้โดยไม่รู้สึกตัวเอง
มองไม่เห็น เช่นการเรียนการสวดหรือการพูดมันเป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรม
ใช้ตัวธรรมะไม่ใช่เรื่องธรรมะ นั้นก็ยังไม่ใช่ตัวธรรมะ
มันเป็นข้อความบันทึกธรรมะแค่นั้น
เราพากันเรียนพากันบ่นพากันสวดเป็นต้นสวดเรื่องธรรมะสวดข้อบันทึกธรรมะไม่ใช่ตัวธรรมะ
อุปมาเหมือนกับว่า พริกมันเผ็ด เกลือมันเค็ม เราบอกว่าพริกมันเผ็ด...อย่างนี้ ยังไม่เห็นความเผ็ดของมัน ยังไม่รู้จักคำที่ว่ามันเผ็ด มันเค็ม ไม่ใช่ตัวเผ็ดตัวเค็ม การอธิบายธรรมะให้ฟังก็เหมือนกัน อันนี้ไม่ใช่ตัวธรรมะ เป็นคำพูดของบุคคล เป็นอุบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ตัวหนังสือคัมภีร์ต่างๆ ก็เหมือนกันเป็นข้อความบันทึกของธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะอ่านได้ท่องได้แต่ใจยังไม่เป็นธรรมะ พูดรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นธรรม ทั้งนี้เห็นธรรมะ ตัวธรรมะจริงๆ นั้นบอกกันไม่ได้ เอาให้กันไม่เป็นไม่รู้จัก ส่วนที่เราศึกษาเล่าเรียน สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้ มันเป็นอุบายเป็นข้อประพฤติปฏิบัติบอกให้เข้าไปถึง เช่นบอกว่าพริกมันเผ็ดนะ ยังไม่รู้จัก ว่าตัวเผ็ดจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร รู้จักแต่เสียงสำเนียงชื่อมันว่าเผ็ด แต่ตัวเผ็ดไม่รู้จัก ส่วนนั้นไม่ใช่ส่วนของครูบาอาจารย์ ไม่ใช่ส่วนของหนังสือ ไม่ใช่ส่วนของคัมภีร์ มันเป็นส่วนของเจ้าของที่ปฏิบัติ มันจึงจะรู้จักว่ามันเผ็ดจริงๆ จึงจะรู้ว่าตัวเผ็ด จึงจะเข้าถึงตัวเผ็ดตัวเค็มเป็นต้น เผ็ด....เค็มมีแต่ชื่อไม่ใช่ตัวมัน ได้ยินแต่ไม่รู้จักส่วนนั้น มันเป็นส่วนของการปฏิบัติ ต้องเอาไปกิน ความเผ็ดความเค็ม ความเเปรี้ยวจึงจะปรากฏขึ้นมาอันนั้นเป็นตัวเผ็ดอันนั้นเป็นตัวเค็ม เราอ่านหนังสือเราฟังธรรมะยังไม่ใช่ธรรมะ ตรัสรู้ธรรมไม่ได้ รู้ได้ด้วยตำราเป็นส่วนของอุปัชฌาย์อาจารย์จะแนะนำโดยอุบายต่างๆ เพื่อให้เข้าไปเห็นความเผ็ด คือธรรมะ อันนี้ก็เหมือนกันเป็นอธิบายให้เข้าไปเห็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวธรรมะ ดังนั้นคนจึงยากที่จะรู้ ยากที่จะเห็นเพราะไม่ได้เข้าใจในการปฏิบัติ เช่นเดียวกับ แพทย์หรือหมอรู้จักสรีระกายของมนุษย์ดีเพราะการศึกษาเล่าเรียนมารู้จัก แต่ก็ไม่รู้จักสรีระอวัยวะของมนุษย์ตามเป็นจริงของหลักธรรม รู้ตามหลักการและวิชาการเท่านั้น ท่านเรียกว่าไม่เห็นเหมือนปลาอยู่ในน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ หมอแพทย์ผ่าตัดสรีระร่างกายของคน รู้จักไปตามหลักการวิชาการแต่ไม่รู้จักในหลักธรรมะตามความเป็นจริง มันเป็นคนละแขนงอย่างนั้น
ฉะนั้น
พุทธบริษัทเราทั้งหลาย ยากที่จะบรรลุธรรมะ เรียกว่าไม่เข้าถึงแก่นของธรรมะ ก็
เพราะมันเป็นอย่างนี้เองไม่ได้น้อมเข้ามา เราตั้งใจปฏิบัติมานมนาน ปฏิบัติได้ 9พรรษา
10 พรรษา 20 พรรษา บุรุษและสตรีทั้งหลาย ถ้เราไปบุกเบิกทำไร่ไถนา
คงจะได้มาหลายไร่แล้วนะ นั่น...มันเป็นอย่างนั้น
เราเป็นนักบวชตั้งใจมาปฏิบัติแท้ๆ แต่ยังไม่ได้อะไร
ยังทำความยุ่งยากใส่ตัวเองอยู่ และใส่ผู้อื่นอยู่ไม่รู้จัก มันไม่รู้จักทั้งๆ
ที่จะไปละกิเลสทั้งหลาย แต่ไม่รู้เรื่องถูกนินทากาเลยังมีโกรธมีโมโห
ยังถือเราถือเขายังถือทิฏฐิมานะ เป็นหน้าที่ของนักปฏิบัติจะฝ่าฟันลงให้เห็น
เช่น เราสวดอาการสามสิบสอง แยกแยะออกหมด
ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เห็นเพื่อให้ละสักกายะทิฏฐิ
ไม่ให้ถือตัวถือตนว่าเป็นแก่นเป็นสารเป็นเราเป็นเขา
สวดแล้วก็ไม่เห็นเพราะธรรมะไม่ได้อยู่ที่นี่ยังไม่เป็นธรรม
ยังมีความโกรธมีความขึ้งเคียด ยังมีความเห็นแก่ตัว เป็นสักกายะทิฏฐิ
ละวิจิกิจฉายังงี้ได้ มันยังไม่ลงหนทาง จึงเป็นของยากเป็นของลำบาก
เราอยู่ไปนานๆ มันก็หนัก เหมือนแบกของหนัก คนแบกของหนักคิดพยายามจะปลงจะวางเพราะมันไม่สบายโดยมากนักบวชนักพรตนักปฏิบัติเราชอบจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้อาศัยเจ้าของเป็นอยู่อาศัยคนอื่น เหมือนกันกับพระอานนท์ พระอานนท์เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าได้เป็นพุทธอุปัฏฐาก ไปไหนก็ไปตามติดตามกันไปเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลายด้วยธรรมะ พระอานนท์ก็ได้ยินได้ฟ้ง แต่ก็ยังไม่ได้บรรลุซึ่งธรรมะ เมื่อถึงคราวพระพุทธเจ้านิพพาน พระอานนท์ร้องไห้ เพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเราทั้งหลายนั้น บัดนี้ท่านมาเสียชีวิตไปแล้ว ต่อไปใครหนอจะเป็นครูเป็นอาจารย์ของเราน้อยใจ ความน้อยใจทำให้ร้องไห้ปริเทวนาการ คนยังไม่ถึงธรรมะ ยังไม่บรรลุธรรมะเป็นอย่างนี้ เรื่องคิดเอาไม่ได้เพราะพระอานนท์ได้ยินแต่คำท่านเทศน์ธรรมะ ได้ดูตำราข้อความบันทึกของธรรมะ พระอานนท์ยังไม่บรรลุถึงธรรมะตัดความโศกเศร้า ปริเทวนาไม่ได้ เข้าใจว่าเมื่อครูของท่านล่วงลับไปแล้วใครจะเป็นครูเป็นอาจารย์ เราคงไม่เห็นท่านอีกแล้ว คิดไปน้ำตามันก็ไหลออกมา ความรู้สึกเช่นนี้ล่ะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่รู้จักธรรมะ ไม่มีทางพ้นทุกข์ พระเถระทั้งหลายผู้ท่านบรรลุถึงธรรมะชั้นสูง เห็นพระพุทธเจ้านิพพานท่านไม่คิดอย่างนั้น เออ... พระตถาคตท่านไปดีแล้ว ท่านสบายแล้ว ท่านหมดภพหมดชาติของท่านแล้ว สบาย...เกิดความสลดสังเวชในสังขารเท่านั้นก็แล้วไป
ธรรมดาคนเราทุกวันนี้ลำบาก ไม่เห็นง่ายๆ ยกตัวอย่างเช่น
พระธาตุพนมพัง คน
ร้องไห้ก็มี และวิพากษวิจารณ์กันไปหลายๆ อย่าง มันเป็นกรรมเป็นเวร
เป็นเสนียดจัญไรแก่บ้านแก่เมือง ว่าไปอย่างนั้น อย่างไรจะเสียใจมันก็คิดไป
เพราะคนมันหลง ความเป็นจริงนั้นอันนี้เป็นธาตุท่านพังนะ ท่านนิพพาน ก่อนท่านไป
ตัวท่านเองท่านก็ยังไป ท่านไม่อยู่ ท่านยังบอกว่า
สิ่งทั้งปวงมีความเกิดแล้วไม่แปรผันไปนั้นไม่มี
ต้องแตกทำลายเป็นเบื้องหน้าท่านสอนไว้ ตัวของท่านเองท่านก็ไปแล้ว
เหลือแต่อัฏฐิอัฏฐิก็กระดูกท่าน แต่ตัวจริงท่านก็ผ่านไปแล้ว
ท่านยังสั่งว่าอนิจจังเป็นของไม่เที่ยง อย่าพากันไปตำหนิก้อนอิฐ
อย่าไปตำหนิก้อนหิน อย่าพากันไปถือต้นไม้โลหะต่างๆ
เป็นที่พึ่งมันไม่เกิดประโยชน์ให้เราพ้นจากทุกข์ไม่ได้
แม้ท่านจะนิพพานแล้วก็ตามให้พากันเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม ให้มีรากฐานแน่นหนา
ให้มีพระอริยสงฆ์ อันเกิดจากพระสัทธรรมเป็นที่พึ่งอันนั้นเป็นสรณะ
ที่พึ่งของเรา
ฉะนั้นถ้าเราไปอาศัยภูเขาอาศัยต้นไม้อาศัยก้อนหินอาศัยก้อนอิฐอยู่มันก็พังถ้าพังแล้วก็ร้องไห้เสียใจ
นี่ล่ะ....พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ถือมงคลตื่นข่าว มันทุกข์
มันนำตนพ้นทุกข์ไม่ได้ พ้นจากวัฏฏะสงสารไม่ได้ มันเป็นมงคลตื่นข่าว
ฉะนั้นยากที่คนจะเห็น ยากที่คนจะรู้จักพึ่งธรรมะ
พูดตามความเป็นจริงความจริงที่มันมีอยู่ตั้งอยู่เสมอ ไม่มีอะไรหวั่นไหว
ความจริงยังตั้งมั่นอยู่ ท่านว่ามันพังมันก็พัง ท่านว่ามันแตกมันก็แตก
ท่านว่ามันฉิบหายมันก็ฉิบหาย มันก็ถูกอยู่แล้วไม่มีอะไรจะเกิดวิปลาสอีกต่อไป
ไม่มีทางแก้ไขความจริงตั้งมั่นอยู่อย่างนี้
เมื่อพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ท่านก็เทศน์ให้ฟังเมื่อท่านดับขันธ์ปรินิพพานแล้วท่านก็สั่งไว้
โดยปริยาย ในเบื้องปลาย
เพื่อจะให้ประชาชนทั้งหลายเข้าใจในธรรมะขนาดนี้ก็ยังเข้าใจได้ยาก นี่อะไรมันบัง
อะไรมันปิดบังไว้อะไรมันปิดดวงตา เช่นท่านให้พิจารณาสกนธ์ร่างกาย
เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่สะอาด
เป็นของไม่เป็นแก่นสารสภาพร่างกายตาเรามองเห็น เห็นขน
เห็นขาเห็นนิ้วมือนิ้วเท้าเห็นทุกส่วน แต่ว่ามันไม่เห็น เห็นแล้วก็ไม่เห็น
เห็นแล้วไม่เห็นลักษณะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในรปูอันนี้
เมื่อมันวิบัติมาวิบัติไปก็มีความโศกเศร้าปริเทวนารำพันชื่อว่าเราไม่เห็น
ไม่ใช่ตาเนื้ออันนี้
ท่านหมายถึงตาใจคือปัญญาให้พิจารณาทุกสิ่งสารพัดท่านให้ภาวนา ภาวนาคือจิตให้ถูก
คิดให้มันแม่น การคิดให้มันแม่น การคิดให้มันถูกนั้นแหละคือยอดธรรมะ
ยอดของการภาวนา เราจะเดินจงกรมก็ดี เราจะนั่งสมาธิก็ดีเคลื่อนอิริยาบทต่างๆ
ทั้งหลายก็ดี คือพระพุทธเจ้าท่านบังคับให้ มีสติรอบรู้อยู่อย่างนั้น
ก็เพราะว่าท่านอยากให้เรามีความเห็นถูกต้องดี
ถ้ามีความเห็นถูกต้องดีมันก็เป็นมรรค เป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น
เมื่อเราทุกข์เราก็จะระบายทุกข์ออก เช่นว่าเราเจ็บไข้ มันเจ็บหัวมัน
ปวดท้องอย่างนี้เป็นต้น
หรือมันเฒ่าแก่ชรามาอย่างนี้เราเห็นแล้วเราก็มีความสบายในธรรมะ
เรื่องนี้มันเป็นอย่างนี้เอง
มันจะไม่เป็นไปอย่างอื่นทุกผู้ทุกนามเกิดมาแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้มันจะมีความทุกข์เกิดขึ้นมาก็ไม่เมา
มันจะมีความสุขเกิดขึ้นมาก็ไม่เมา ไม่ได้เมาในสิ่งใดทั้งหลายทั้งปวง
เพราะเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นตามเหตุตามปัจจัยของมัน
เมื่อความเห็นถูกต้องใจก็ไม่ตื่นเต้นไม่หวาดไม่กลัว
ไม่สะดุ้งต่อเหตุการณ์ทั้งหลายต่างๆจะเห็นรูปก็ดี จะได้ยินเสียงก็ดี
จะได้ลิ้มรสก็ดีถูกต้องโผฏฑัพพะทางกายก็ดี ธรรมมารมณ์อันเกิดขึ้นทางใจก็ดี
อนิฏภรมณ์ อารมณ์ที่น่าปรารถนา อนิฎฐษรมณ์ อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนาก็ดี
จิตใจของผู้บรรลุธรรมะ จะตรงจะเที่ยงจะมั่น รู้รอบอยู่ตามเป็นจริงนั้น
พ้นจากทุกข์
อันนี้คือความคิดถูก เมื่อคิดถูกแล้ว มันสงบทุกสิ่งทุกอย่าง นี้คือการประพฤติปฏิบัติของพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย ให้เห็นอันนี้คำที่ว่าพ้นจากทุกข์นั้นก็ฟังยากลำบากว่ามันพ้นโดยวิธีอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกขืได้ ถ้าภาษาเราง่ายๆ ว่ามันได้อะไรทุกล่สิ่งทุกอย่างตามชอบใจแล้วไม่ทุกข์ว่าอย่างนั้น แล้วไม่คิดว่าอันใดทั้งปวงในโลกนี้ให้มันได้ตามชอบใจนั้นมีไหม? มันไม่มีหรอก หาไม่ได้หาไม่มี นอกจากทำปัญญาสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้นเอง
ฉะนั้นเรื่องประพฤติปฏิบัติของพวกเราทั้งหลายนั้นมันจึงไม่ก้าวหน้า อาตมาเห็นว่ามันเหนื่อยหน่ายมันไม่บรรลุธรรมะอย่างแท้จริง ไม่บรรลุซึ่งธรรม ถ้าบรรลุซึ่งธรรมปฏิบัติไปนานๆ มันจะเบื่อหน่าย เบื่อไป....เบื่อไป....เป็นต้นมันไม่ขี้เกียจ แต่คนเราไม่เป็นอย่างนั้น ปฏิบัติธรรมแล้วขี้เกียจ พอใครว่าหน่อยก็โกรธเลย ของใช้ไม่ได้ไม่ขี้เกียจมันจะเป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างเอาออกได้ยาก เพราะไม่ได้พิจารณาด้วยปัญญาของเจ้าของ ผลของการฏิบัติก็คือโลภ โทสะ โมหะ เต็มอยู่ในใจ เครื่องหมายของผู้ปฏิบัติมันน้อยหรือมันมาก มันเจริญหรือมันเสื่อม ทั้งหลายเหล่านี้จะต้องพากันรู้จักตัวเอง ถ้าเราพากันรู้เรื่องธรรมะแล้วเราทั้งหลายจะเป็นผู้มีกำไร เป็นผู้มีกำไรมากทีเดียว มันจะไม่ตื่นเต้นจะไม่ทุกข์ในสิ่งใดๆทั้งสิ้น เพราะว่าเห็นโลกตามเป็นจริงเช่นว่า โลกวิทู เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง แต่เราไม่รู้ว่าโลกมันอยู่ตรงไหนมันพ้นจากโลกมันพ้นอย่างไรไม่รู้จักรู้แต่ว่าเออ...ถ้าตายคงสบายหรอก อยู่ในโลกนี้มันยาก พวกเราทั้งหลายเลยเห็นว่าดินฟ้าอากาศนี้เป็นโลก โลกที่อยู่ใกล้ไม่เหนือโลกอันนี้มันโลกคือแผ่นดิน โลกที่ทำให้สัตว์หมุนเวียนอยู่โลกคืออารมณ์ อารมณ์ที่มันเกิดอยู่รอบๆ เราอยู่นี้อารมณ์ที่มันเกิดทางหูข้าง ทางตาบ้างฯ เข้ามารวมที่จิตใจถ้ามันหลงมันก็เกิดโลภและโกรธขึ้นมาอันนี้เป็นเครื่องหมายถ้าเรารู้ไม่เท่าเอาไม่ทัน กำลังกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ มันจะเต็มตื้ออยู่อย่างเก่า เมื่อเรารู้ตามเป็นจริงของมันแล้ว ไม่มีอะไร อารมณ์นี้ไม่ให้โทษ อารมณ์ก็เหมือนน้ำที่มันไหลไปตามเรื่องของมันเหมือนลมที่พัดไปตามอากาศ เราไปโทษว่ามันไหลเร็ว ไหลช้า ไปโทษว่ามันเป็นอย่างนั้นมันเป็นอย่างนี้ความเป็นจริงเรื่องของมันเป็นอย่างนี้ แม้ถึงสกนธ์กายของเรานี้ก็เช่นกัน มันจะแปรไปไหนก็ช่างมัน เกิดโรคอะไรก็ตามโรคอ้วนก็ตาม โรคผอมก็ตาม โรคตับโรคปอดมันตายเพราะโรคอันนั้น มันตายเพราะโรคอันนี้มันเป็นแขนงของมันต่างหากหรอก ถ้าพูดให้มันถูกจุดเดียวโรคนี้ ไม่มีมากคนนี้ตายเพราะอะไรหนอ? มันตายเพราะมันเกิด ไม่มีโรคอะไร โรคเกิด เขาตายเพราะโรคอะไร? ตอบว่า โรคเกิดเท่านี้ก็พอ โรคอะไรก็ตามมันมาจากโรคอันเดียว คือเกิดพอ....ถ้าเราว่าโรคเกิดมันก็จบ เพราะถ้าไม่เกิดมันก็ไม่ตายถ้าพูดง่ายๆ ก็ตามพูดอย่างนี้ เป็นโรคอะไร? โรคเกิดก็จบถ้าภาวนา ภาวนาอย่างไร? คือทำให้มันถูก แค่นี้ก็หมดเรื่องภาวนา ถ้าพูดให้มันสั้นก็ต้องพูดอย่างนี้ เอวัง
<< ย้อนกลับ
การปล่อยวาง
จิตที่ตื่นรู้
ตามดูจิต
สมถวิปัสสนา
บัว 4 เหล่า
ธาตุ 4
มรรค 8
ทางพ้นทุกข์
บ้านที่แท้จริง
ฝึกจิตให้มีกำลัง
ตุจโฉโปฏฐิละ
การทำจิตให้สงบ
อ่านใจธรรมชาติ
สองหน้าของสัจธรรม
ทางสายกลาง
ธรรมะกับธรรมชาติ
นอกเหตุเหนือผล
อยู่กับงูเห่า
ภาวนาพุทโธ
อยู่เพื่ออะไร
อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย
ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย
ปลาไม่เห็นน้ำ
สงบจิตได้ปัญญา
สมาธิภาวนา
ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย