ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
สมาธิภาวนา
3ทีนี้ จะพูดถึง เครื่องอุปกรณ์ทั้งหลายที่จะช่วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา เราจะต้องเป็นผู้มีจิตใจเผื่อแผ่โอบอ้อมอารี ที่เรียกว่า เมตตาธรรม ให้เป็นผู้มีเมตตาเป็นคุณธรรม เช่นว่า เรากำจัดตัวโลภะหรือตัวเห็นแก่ตัวออก ทางพระท่านว่าการให้ทาน การให้คือทานคนเราถ้าเห็นแก่ตัวแล้วไม่สบาย เห็นแก่ตัวแล้วไม่ค่อยสบาย แต่คนชอบจะเห็นแก่ตัวหลาย แต่ไม่รู้สึกเจ้าของ(ไม่รู้สึกตัว)
จะรู้ได้ ในเวลาไหน รู้ว่าในเวลาเราหิวอาหารถ้าเราได้แอปเปิ้ลมาลูกหนึ่งขนาดนี้ เราจะแบ่งคนอื่นจะแบ่งให้เพื่อน คิดแล้วคิดอีก อยากจะให้เพื่อนก็อยากจะให้ แต่ว่าอยากจะเอาลูกเล็ก ๆ ให้ จะเอาลูกใหญ่ให้ก็แหม เสียดายเหลือเกิน คิดอยากนักหนา เอาไป เอาไปเอาลูกนี้ไป เราก็ให้ลูกเล็ก ให้แอปเปิ้ลลูกน้อย ๆ ไปแต่ เอาลูกใหญ่ไว้ นี่ความ เห็นแก่ตัวชนิดนี้อันหนึ่งแต่คนไม่ค่อยจะเห็นเคยมีไหม เคยเป็นไหม การให้ทานนี่ทรมานจิตนะ มันอยากให้เขาลูกเล็ก ๆอุตสาห์บังคับเอาลูกใหญ่ให้เพื่อน พอให้แล้ว เออสบาย นะ
นี่การทรมานจิตอย่างนี้ ต้องบังคับจิตให้มันรู้จักให้ ให้มันรู้จักละ ไม่ให้มันเห็นแก่ตัว เมื่อเราให้คนอื่นเสียแล้ว มันก็สบายหรอก ถ้าเรายังไม่ให้นี่จะให้ลูกไหนหนอ มันลำบากมากเหลือเกิน กล้าตัดสินว่าให้ลูกใหญ่นี่หนา เสียใจนิดหน่อยนะ แต่พอตกลงใจให้เขาแล้วมันก็แล้วไป นี่เรียกว่าทรมานจิตในทางที่ถูก มันเป็นอย่าง นี้ถ้าเราทำให้ได้อย่างนี้ เรียกว่า ชนะตัวเอง ถ้าเราทำไม่ได้อย่างนี้ เรียกว่า แพ้ตัวเอง เห็นแก่ตัวเรื่อยไปก่อนนี้เรามีความเห็นแก่ตัว อันนี้ก็เป็นกิเลสอันหนึ่งเหมือนกัน ต้องขจัดออก ทางพระเรียกว่าการให้ทานการให้ความสุขแก่คนอื่น อันนี้เป็นเหตุช่วยให้ชำระความสกปรกในใจของเราได้ และต้องให้เป็นคนจิตใจอย่างนี้ให้พิจารณาอย่างนั้น อันนี้ประการหนึ่งที่ควรทำไว้ในใจของ เรา
บางคนอาจจะเห็นว่า อย่างนี้ก็เบียดเบียนตัวเองนี้ไม่ใช่เบียดเบียนตัว แต่เป็นการเบียดเบียนกิเลสตัณหาต่างหากล่ะ ถ้าในตัวมีกิเลสขึ้นมา ให้กิเกสมันหายไปกิเลสนี้เหมือนแมว ถ้าให้กินตามใจ มันก็ยิ่งมาเรื่อยๆ แต่มีวันหนึ่งมันข่วนนะ ถ้าเราไม่ให้อาหารมันไม่ต้องให้อาหารมัน มันจะมาร้องแม้วๆ อยู่ เราไม่ให้อาหาร มันสักวันหนึ่งสองวัน เท่านั้นก็ไม่เห็นมันมาแล้วเหมือนกันแหละ กิเลสไม่มากวนเรา เราก็จะได้สงบใจต่อไป ทำให้กิเลสกลัวเรา อย่าทำให้เรากลัวกิเลสให้กิเลสกลัวเรา นี่พูดให้เห็นในธรรมในปัจจุบันในใจของเราอย่างนี้
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าของ เราอยู่ที่ไหนอยู่ที่ความรู้ ความเห็นในใจของเราอย่างนี้ รู้ได้ทุกคน เห็นได้ทุกคน ไม่ใช่อยู่ในตำรา ไม่ต้องไปเรียนให้มันมากพิจารณาเดี๋ยวนี้ก็เห็นที่อาตมาพูด ก็เห็นได้ทุกคน เพราะมันอยู่ในใจทุกคน เรามีกิเลสทุกคนใช่ใหม ถ้ามันได้เห็นอย่างนี้ก็รู้จัก แต่ก่อนนี้เราต้องการเลี้ยงกิ เลสไว้ให้รู้จักกิเลส อย่าให้มันมากวนเรา อันนี้เป็นอันหนึ่งที่ยังไม่บังเกิด ให้ทำให้เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็ทำให้มากขึ้น
ทีนี้ข้อปฏิบัติต่อไปคือการรักษา ศีล ศีลนี้จะดูแลธรรมะให้เจริญขึ้น เหมือนพ่อแม่กับลูก การรักษาศีล คือการเว้นการเบียดเบียนและทำการเกื้อกูลช่วยเหลืออย่างต่ำนี้ให้มี 5 ข้อ คือ
ข้อ 1 ให้ เมตตา สัตว์และมนุษย์ทั้งหมดไม่ให้ทำร้ายเบียดเบียน ตลอดถึงการฆ่า
ข้อ 2. ให้มีความ สุจริต อย่าไปข้ามสิทธิของกันและกัน พูดง่าย ๆ คือไม่ให้ขโมยของ กันนั่นเอง
ข้อ 3. ให้รู้จัก
ประมาณในกามบริโภคอยู่ในฆราวาสวิสัยก็ต้องมีครอบครัว มีพ่อบ้าน
แม่บ้านแต่ถ้ารู้จักประมาณก็ปฏิบัติธรรมะได้ ให้รู้จักพ่อบ้านของเรา
รู้จักแม่บ้านของเราเท่านั้น ให้รู้จักประมาณ อย่าทำให้เกินประมาณ ให้มีขอบเขต
แต่โดยมากคนจะไม่มีขอบเขตเสียด้วยนะ บางทีมีพ่อบ้านคนเดียวก็ไม่พอ มีสองคนบ้าง
บางทีมีแม่บ้านคนเดียวก็ไม่พอ ต้องมีสามด้วย อย่างนี้ก็มี
อาตมาว่าคนเดียวก็กินไม่หมดแล้ว จะไปมีสองคนสามคนนี่ มันเรื่องสกปรกทั้งนั้นนี่
พยายามชำระ พยายามฝึกใจให้มันรู้จักประมาณ
ความประมาณนี้มันบริสุทธิ์ดีที่ไม่รู้จักประมาณ นี่มันไม่มีขอบเขต
ถึงได้อาหารเอร็ดอร่อยอย่างนี้
อย่าไปนึกถึงความเอร็ดอร่อยมันมากให้รู้จักท้องของเรา ให้รู้จักประมาณ
ถ้าเรากินมากก็ลำบากเหมือนกัน ให้รู้จักประมาณ ความรู้จักประมาณนี่ดีที่สุด
ให้มีแม่บ้านคนเดียวก็พอแล้ว มีพ่อบ้านคนเดียวก็พอแล้ว
มีสองมีสามเกินขอบเขตแล้ววุ่นวาย
ข้อ 4. คือ ความซื่อสัตย์ นีก็เป็นเครื่องกำจัดกิเลสเราเหมือนกัน เป็นคนตรง มีสัจจะเป็น คน ซื่อสัตย์ ข้อ 5 เป็นคนที่ ไม่ดื่มสุราน้ำเมา อย่างนี้ก็ให้รู้จักประมาณ ให้เลิกเสียก็ดี คนเราเมามัวในครอบในครัวก็มากแล้ว เมาลูก เมาหลานเมาทรัพย์สมบัติหลายอย่าง มันก็พอแล้ว ยิ่งเอาเหล้ามากินเข้าไปอีก มันก็มืดเท่านั้นแหละ อันนี้บริษัททั้งหลายไม่รู้ ดูตัวเราเอง ถ้าหากว่ามันมาก ใครมีมากก็พยายามค่อย ๆ ปัดเป่ามันออกไป ปัดเป่ามันออกไปให้หมด
ต้องขอโทษด้วยนะ พูดด้วยความปรารถนาดีนะอยากจะให้ดี อยากจะให้รู้จัก เราต้องรู้จักว่าอะไรเป็นอะไร ที่เรามาทุกวันนี้ อะไรมันกดดันอยู่ แล้วเพราะอะไรการกระทำเหล่านั้นจึงกดดันเรา ทำดีมันก็ได้ดีทำชั่วมันก็ได้ชั่ว อันนี้เป็นเหตุ อันนี้ขอฝากไว้นะขอโทษด้วยนะ ไม่อยากจะพูดหรอก แต่พระพุทธเจ้าบอกให้พูด ทั้งหมดที่พูดมานี้เป็นเครื่องอุปกรณ์อันหนึ่งให้เราปฏิบัติกันดูนะ
ทีนี้เมื่อมีศีลบริสุทธิ์ดีแล้ว มีความรักกัน ซื่อสัตย์ก็จะมีความสุข ความเดือดร้อนไม่มีนะ เมื่อความเดือดร้อนไม่มีแล้ว เพราะไม่เบียดเบียนชึ่งกันและกันอย่างนี้ก็มีความสุข นี้คืออยู่ในเมือง สวรรค์ แล้วสบายกินก็สบาย นอนก็สบาย มีความสุข สุขเกิดจากศีลเมื่อมีการกระทำอย่างนี้ ก็เป็นเหตุให้อันนี้เกิดขึ้นมาละความชั่วเช่นนี้เป็นกฎอันหนึ่ง เพื่อความดีนี้เกิดขึ้นมานี่ถ้าเรามีศีลอย่างนี้ ความชั่วหนีไป ความสุขเกิดขึ้นมานี่ละเกิดเพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ทีนี้ยังไม่จบแค่นี้นะ คนเราถ้ามีความสุขแล้วชอบเผลอ
เหมือนกันนายชอบเผลอ ไม่อยากไปที่ไหนชอบติดสุขอยู่ที่นั่นแล้ว
ไม่อยากไปที่ไหนหรอก ชอบสุขมันเป็นสวรรค์ ถ้าพูดตามบุคคลาธิษฐาน
เป็นเมืองสวรรค์ผู้ชายก็เป็นเทวบุตร ผู้หญิงก็เป็นเทวดา สบายไม่รู้เนื้อรู้ตัว
อันนี้ให้ทำความพิจารณาอีกทีหนึ่งอย่าหลงมัน ให้พิจารณาอีก ให้พิจารณา
โทษของความสุขอีกว่า ความสุขนี่มันไม่แน่นอนเหมือนกัน
มีความสุขแล้วไม่ช้านานเท่าไร
ความสุขนั้นก็ละเลิกจากเรานี่เป็นของไม่แน่เหมือนกัน เมื่อความสุขเลิกจากเรา
ความทุกข์เกิดขึ้นมา เราก็ร้องไห้อีกแหละ นางเทวดาร้องไห้แล้วซิ
เทวบุตรยังร้องไห้เป็นทุกข์ แล้วท่านให้เราพิจารณาโทษของมัน
เห็นโทษของมันว่าโทษของความสุขมีอยู่
แต่ในเวลาที่มันมีสุขนี้ไมู่ร้จักมันประการหนึ่งละ ความสงบเที่ยงแท้แน่นอน
มีความสุขนี่มันปิด ทำให้เราไม่เห็นทุกข์หรอก
การปล่อยวาง
จิตที่ตื่นรู้
ตามดูจิต
สมถวิปัสสนา
บัว 4 เหล่า
ธาตุ 4
มรรค 8
ทางพ้นทุกข์
บ้านที่แท้จริง
ฝึกจิตให้มีกำลัง
ตุจโฉโปฏฐิละ
การทำจิตให้สงบ
อ่านใจธรรมชาติ
สองหน้าของสัจธรรม
ทางสายกลาง
ธรรมะกับธรรมชาติ
นอกเหตุเหนือผล
อยู่กับงูเห่า
ภาวนาพุทโธ
อยู่เพื่ออะไร
อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย
ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย
ปลาไม่เห็นน้ำ
สงบจิตได้ปัญญา
สมาธิภาวนา
ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย