ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
การละเล่นไทย สร้างเสริมคุณธรรม
การเล่นในสมัยกรุงสุโขทัย
ว่าวหง่าว
โคเกวียน
การเล่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
มอญซ่อนผ้า
สะบ้า
ไม้หึ่ง
ลิงชิงหลัก
การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
วิ่งวัว
ตะกร้อ
ขี่ม้าส่งเมือง
กลองหม้อตาล
หม้อข้าวหม้อแกง
ไม้หึ่ง
(การเล่นในสมัยอยุธยา)
เป็นการเล่นที่เล่นได้ทั้งหญิงและชาย มีกฎกติกาและระเบียบแบบแผนในการเล่น
ที่เห็นได้อย่างชัดเจน มีการใช้อุปกรณ์จำเพาะ นิยมเล่นกันในเทศกลางตรุษสงกรานต์
วัตถุประสงค์
- เพื่อสร้างความสามัคคี ความพร้อมเพรียง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
- เพื่อฝึกไหวพริบ
อุปกรณ์
- แม่ไม้ 1 อัน มีขนาดความยาวประมาณ 24-32 นิ้ว โตขนาดเท่าไม้ถือ
- ลูกไม้ 1 อัน มีขนาดความยาวประมาณ 3 นิ้ว โตขนาดเท่าส่วนปลายของแม่ไม้
ผู้เล่น
ไม่จำกัดจำนวน โดยจะเล่นรวมทั้งชายและหญิง หรือเล่นเฉพาะชายกับชาย
หญิงกับหญิงก็ได้
รูปแบบ
แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตีและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายรับ
ดังภาพประกอบ
ภาพประกอบ รูปแบบการเล่นไม้หึ่ง
ที่มา : จิรกรณ์ ศิริประเสริฐ. เกมเบ็ดเตล็ด หน้า 40
วิธีการเล่น
- แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่ายเท่า ๆ กัน ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตี อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายรับ
- ขุดรางลงในดินให้ยาวประมาณ 3 นิ้ว กว้างพอวางลูกไม้ขวางแล้วไม่ตก
- เริ่มตีลูกที่ 1 ฝ่ายตีคนแรกเอาลูกวางขวางราง เอาแม่ไม้งัดให้ลูกลอยไปตก ทางฝ่ายรับ แล้วเอาแม่ไม้วางขวางรางไว้
- ถ้าฝ่ายรับรับลูกได้ คนที่ตีลูกมาต้อง ตาย ถ้าฝ่ายรับรับไม่ได้ ลูกไม้ตกที่ใดต้องหยิบลูกไม้ทอยมาจากตรงที่ตกให้ไปถูกแม่ไม้ที่วางขวางรางอยู่ ถ้าทอยถูกผู้ตีลูกมาจะตาย ถ้าตีไม่ถูกลูก คนที่ 2 จะได้ตีต่อไป
- ลูกที่ 2 ผู้ตีกำไม้ด้วยมือขวา วางลูกไม้ขวางเหนือมือที่กำแม่ไม้ไว้ ให้ลูกไม้พาดหัวแม่ไม้ตรงกึ่งกลาง เมื่อชั่งน้ำหนักลูกไม้พอเหมาะแล้ว ให้เดาะลูกไม้นั้นลอยขึ้นพร้อมกันนั้นให้เอาแม่ไม้เดาะลูกไม้ซึ่งย้อยลงมาให้ลอยไปตกทางฝ่ายรับ
- ถ้าฝ่ายรับรับลูกได้ ผู้เดาะลูกจะตาย ถ้ารับไม่ได้จะต้องหยิบลูกไม้โยนจากที่ลูกไม้ตกมาให้ใกล้ปากรางไม่เกินกว่าช่วงแม่ไม้ ดังนั้นจัดว่าผู้ตีเป็นฝ่ายตาย แต่ผู้ตีจะต้องป้องกันคือเมื่อเดาะลูกไปแล้วฝ่ายรับรับลูกไม่ได้ต้องถือแม่ไม้รอคอยที่ปากราง เมื่อผู้รับโยนลูกไม้มา ก็ให้ใช้แม่ไม้ตีปัดลูกไม่ให้ไปตกทางอื่นห่างบริเวณปากรางช่วงแม่ไม้ ถ้าทำได้ผู้ตีจะได้ตีลูก 3 ต่อไป
- ลูกที่ 3 ผู้ตีหันหลังไปทางผู้รับ ผู้ตียกไม้ขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือซ้าย มือขวาจับแม่ไม้ตีให้ลูกลอยไปตกทางฝ่ายรับแล้วเอาแม่ไม้วางขวางรางไว้ให้ฝ่ายรับทอย การรับการทอยเหมือนกับลูกที่ 1 ถ้าฝ่ายตีตายด้วยลูกใดถือว่าตายเลย ถ้าตายหมดทุกคนก็ให้กลับเป็นฝ่ายรับบ้าง และฝ่ายรับกลับมาเป็นฝ่ายตี
- ถ้าฝ่ายตี ๆ ได้ทั้ง 3 ลูก มีสิทธิ์จะให้พวกตนที่ตายกลับขึ้นมาเล่นได้โดยพวกตนคนใดตายด้วยลูกใดก็ให้ตีลูกนั้นซ้ำอีกทีหนึ่ง ถ้าฝ่ายรับรับไม่ได้และทอยไม่ถูกแม่ไม้ ผู้ที่ตาย ก็จะกลับเป็น และเริ่มตีตั้งแต่ลูกที่ 1 ไปใหม่ ถ้าตีลูกไปตายอีก คนอื่นที่เป็นจะต้องตีใช้อีก จึงจะกลับมาเป็นได้
- เมื่อฝ่ายตี ตีลูกเป็นหมดทุกคนหรือใช้ผู้ที่ตายให้กลับเป็นหมดทุกคนแล้วถือว่าเป็นฝ่ายชนะ
- ต่อไปก็เดาะลูกไม้โดยทางฝ่ายตีทุกคนผลัดกันเดาะ โดยจับแม่ไม้ที่กึ่งกลางให้ลงไปแนบท่อนแขน แล้วนับว่าเดาะได้กี่ทีจนกว่าลูกไม้จะตกดิน ปฏิบัติเช่นนี้จนหมดทุกคน แล้วก็พลัดกันตีลูกไปข้างหน้าเท่ากับจำนวนที่เดาะได้ทุกคน เป็นทางยาวเท่าใดก็ได้ โดยให้ฝ่ายรับหึ่งมา จะต้องหึ่งให้มีเสียงดังเพียงชั่วอึดใจเดียว เมื่อหมดอึดใจก็ให้คนอื่นมารับช่วงแทนต่อไป จึงถึงที่ตั้งต้น ถ้าหึ่งหมดคนแล้วยังไม่ถึงที่ฝ่ายตีก็ตีลูกต่อระยะออกไปอีก 1 ไม้ ให้ผู้หึ่งทำดังนี้จนกว่าผู้รับจะช่วยกันหึ่งมาจนถึงที่ตั้งต้นได้ และผู้รับกลับมาเป็นฝ่ายตีบ้าง
ข้อเสนอแนะ
1. กติกา
- ในการทอยลูกที่ 2 นั้น ผู้ทอยจะต้องอาศัยไหวพริบล่อหลอกจนผู้ตี ไม่สามารถตีลูกได้
- ผู้ทอยไม่จำกัดตัวผู้ใด โดยมากมักมอบให้ผู้ที่ทอยแม่นที่สุดเป็นคนทอย
- ในการเดาะ ผู้เดาะต้องยืนที่ปากราง แล้วจับไม้เขียนเป็นวงรอบตัว ถือว่าเป็นเขตซึ่งผู้รับจะเข้าไปในเขตนี้ไม่ได้
- ในขณะที่ผู้ตีตีลูกไปให้ผู้รับหึ่งนั้น ผู้รับต้องคอยหาโอกาสรับลูกไม้ให้ได้ เมื่อรับได้ก็ย่นระยะทางหึ่งได้เท่านั้นครั้ง เช่น ถ้ารับได้ 4 ลูก ก็ขว้างลูกไม้กลับมา 4 ครั้ง การย่นระยะทางมักจะให้ผู้ที่ขว้างไกลที่สุดเป็นคนย่น
2. ระเบียบการตัดสิน
ลูกที่ตีไปต้องตีไปตรง ๆ ถ้าหันหน้าออกนอกทางมากเกินควร
ผู้รับสามารถขอร้องให้ทำใหม่ได้ ลูกที่ตกถึงดินแล้วกระดอนขึ้นนั้นจะถือว่ารับไม่ได้
ในการเดาะผู้รับจะเข้าไปรับในวง หรือใช้ไม้ใช้ผ้าไปปัดไม่ได้ การเร่
ถ้าลูกไม่ตรงแนวหรือตรงทางผู้ตีหรือผู้ทอย อาจเร่เข้ามาให้ เข้าทางเข้าแนวได้
(กรมพลศึกษา. 2542 : 529-531