ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>

การละเล่นไทย สร้างเสริมคุณธรรม

การเล่นในสมัยกรุงสุโขทัย
ว่าวหง่าว
โคเกวียน
การเล่นในสมัยกรุงศรีอยุธยา
มอญซ่อนผ้า
สะบ้า
ไม้หึ่ง
ลิงชิงหลัก
การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
วิ่งวัว
ตะกร้อ
ขี่ม้าส่งเมือง
กลองหม้อตาล
หม้อข้าวหม้อแกง

การเล่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

เนื่องจากกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (ระหว่างปีพุทธศักราช 2325-2412) เป็นระยะที่กำลังฟื้นฟูประเทศเพราะมีการทำศึกสงครามกับพม่าถึง 10 ครั้ง กิจกรรมนันทนาการและกีฬาจึงค่อนข้างตกต่ำไม่มีระเบียบแบแผน การเล่นเน้นที่กิจกรรมที่ให้ความเพลิดเพลิน ซึ่งมักนิยมเล่นกันเฉพาะในพระราชพิธีและเทศกาลต่าง ๆ ที่สำคัญเท่านั้น เช่น มีการแสดงไต่ลวด วิ่งวัวคน และแข่งระแทะหน้าพระที่นั่ง เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลรัชมงคลที่กรุงศรีอยุธยา ส่วนในพระบรมมหาราชวังมีการเล่นชักเย่อในบรรดาพวกญาติวงศ์และเจ้านาย การเล่นที่นิยมเล่นกันทั่วไป ได้แก่ แข่งเรือ ตะกร้อ ชนไก่ และว่าว เป็นต้น (สลับศรี พัฒนวิบูลย์. 2534 : 46-53, 59)

วรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นหลายเล่มได้กล่าวถึงการเล่นชนิดต่าง ๆ ตัวอย่าง เช่น ในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (2484 : 416, 926) เรื่อง อิเหนา มีการกล่าวถึง การเล่นตั้งวงเตะตะกร้อ จ้องเต ขี่ม้าส่งเมือง วิ่งวัวคน และวิ่งว่าว ไว้ดังนี้

“บัดนั้น เสนากิดาหยันน้อยใหญ่
บรรดาที่ตามเสด็จไป อยู่ในหน้าวิหารลานวัด
บ้างตั้งวงลงเตะตะกร้อเล่น เพลาเย็นแดดล่มลมสงัด
ปะเตะโต้คู่กันสันทัด บ้างถนัดเช่าเดาะเป็นหน้าดู
ที่หนุ่มหนุ่มคะนองเล่นจ้องเต สรวลเสเฮฮาขึ้นขี่คู่
บ้างรำอย่างชวามลายู เป็นเหล่าเหล่าเล่นอยู่บนศิรี”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ครั้งถึงจึงต้องจอลง จำเพราะตรงช่องแกลแดหนัง
ให้จุดใต้ใส่เพลิงเอาแผงบัง จะวายังถวายให้คลายใจ
แล้วตั้งโห่สามทีตีฆ้องกลอง กึกก้องสนั่นหวั่นไหว
เชิดรูปอิเหนาขึ้นทันใด ประสันตาพากย์ไปทันที
บ้างลงท่าโกนจุดสนุกสนาน มีงานการกึกก้องทุกแห่งหน
บ้างตั้งบ่อนปลากัดนัดไก่ชน ทรหดอดทนเป็นเดิมพัน
บ้างเล่นวิ่งวัวคนโคระแทะ ชนแพะแกะกระบือคู่ขัน
บ้างวิ่งว่าวคลาคว้าพนัน ปักเป้าสั้นโห่ฉาววิ่งราวมา
ราตรีมีหนังประชันเชิด ฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างเล่นเพลงครึ่งท่อนกลอนสักวา ทั้งสุดใจไก่ป่าสารพัน”

วรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี ได้แสดงให้เห็นถึงการเล่นของผู้คนในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นว่า มีการเล่นชิงเบี้ยเจ๊ก แทงอีโป และวิ่งควาย ซึ่งกล่าวไว้ในตอนสมโภชการอภิเษก ศรีสุวรรณ (อ้างอิงจาก ฐะปะนีย์ นาครทรรพ. 2537 : 98) ดังนี้

“จะกล่าวแกล้งชาวเมืองมาดูเล่น ด้วยว่าเป็นการสนุกทุกภาษา
เที่ยวดูงานการสมโภชในพารา บ้างยืนนั่งตั้งม้าทุกหน้าโรง
พวกขี้เมาเหล่านักเลงเสียงเครงครื้น ห่มแต่พื้นขาวม้านุ่งตาโถง
ชิงเบี้ยเจ๊กเด็กแย่งแทงอีโป ออกเดินโคลงโคลนเลอะเทอะทั้งตัว
นางบ้านนอกคอกนาหน้าตาตื่น จะนั่งยืนเคียงข้างไม่ห่างผัว
ห่มแพรสีสองชั้นดูพันพัว ต่างแต่งตัวเต็มประดาทุกนารี”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ครั้นโพล้เพล้เพลาพอพลบค่ำ พวกหนังร่ำกลองประดังทั้งม้าล่อ
บ้างเชิดหนังตั้งแขนทำแหงนคอ ที่มุมจอคนเจรจาออกมายืน
พวกดูหนังนั่งหลามตามถนน ออกเกลื่นกล่นกลุ้มกลาดดูดาษดื่น
บ้างลองจุดประทัดดังเหมือนอย่างปืน ให้คนตื่นแตกพลัดกระจัดกระจาย
พอกลองหยุดจุดดอกไม้ไฟสว่าง แสดงกระจ่างแจ่มเหมือนดังเดือนหงาย
ดอกไม้กลคนชิงกันวิ่งควาย พวกผู้ชายสรวลเสกันเฮฮา”
ส่วนเกมการเล่นปิดตาและตะกร้อ ได้ปรากฏอยู่ในโคลงนิราศเมืองสุพรรณ

(สุนทรภู่. 2509 : 26, 63) ดังนี้

“สวนหลวงแลสะล่างล้วน พฤกษา
เคยเสด็จวังหวังมา เมื่อน้อย
ช้าหลวงเล่นปิดตา ต้องอยู่ โยงเอย
เห็นแต่พลับกับสร้อย ซ่อนซุ้มคลุมโปรง”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ตะวันเย็นเห็นพระพร้อม ล้อมวง
ตีปะเตะตะกร้อตรง คู่โต้
สมภารท่านก็ลง เล่นสนุก ขลุกแฮ
เช่าค่างต่างอวดโอ้ อกให้ใจหาย”

การเล่นที่ปรากฏเสภาเรื่อง ขุนช้างขุนแผน (หอสมุดแห่งชาติ. 2513 : 107, 516) ได้แก่ การเล่นไล่จับ ซ่อนหา และไม้หึ่ง ดังบทที่ว่า

“ถึงท่านผลัดผ้าด้วยยินดี ลงน้ำซึ่งก็สีซึ่งเหงื่อไคล
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเชียดชักชวนกันเล่นไล่
ใครจะซ่อนใครจะหาก็ว่าไป เปรียบหนีเปรียบไล่ให้อยู่โยง
ปะเปิงเลิงแมวแอวออก นอกซ่อนนางอันกระโต้งโห่ง
จำเพาะลงที่อีโคกโยกโก้งโค้ง กระโดดโยงลงน้ำดำผุดไป
อีมาอีมีอีสีเสียด อีเชียดดำหนีอีโคกไล่
อีรักหนักท้องไม่ว่องไว อีโคกกระโชกใกล้เข้าทุกที”

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“เมื่อกลางวันยังเห็นเล่นไม้หึ่ง กับอ้ายอึ่งอีดูกลูกอีปิ
แล้วว่าเจ้าเล่าก็ช่างนั่งมึนมิ ว่าแล้วซิอย่าให้ลงไปดิน”

นอกจากนี้ในวรรณคดีเรื่องเดียวกันยังมีการกล่าวถึง การเล่นเลียนแบบ ได้แก่ การเล่นเลียนแบบการหุงหาอาหาร การเล่นผัวเมีย และการเล่นทำบุญให้ทาน การเล่นของเด็กในสมัยก่อนจะถูกมองในแง่จิตวิทยาเป็นทำนองการทำนายอนาคตหรือแสดงบุพนิมิต ดังเช่น

“แล้วนางหุงข้าวต้มแกง กวาดทรายจัดแจงเป็นรั้วบ้าน
นางเล่นทำบุญให้ทาน ไปนิมนต์สมภารมาเร็วไว
ขุนช้างนั้นเป็นสมภารมอญ ไม่พักโกนหัวกล้อนสวดมนต์ใหญ่
พลายแก้วนั้นเป็นสมภารไทย จัดแจงแต่งให้ยกมา
สวดมนต์ฉันเสร็จสำเร็จแล้ว ฝ่ายช้างพลายแก้วอุตริว่า
เราเล่นเป็นผัวเมียกันเถิดรา ขุนช้างร้องว่าข้าขอบใจ
นางพิมว่าไปอ้ายนอกคอก รูปชั่วหัวถลองกูหาเล่นไม่
พลายแก้วว่าเล่นเถิดเป็นไร ให้ขุนช้างนั้นไซร้เป็นผัวพลาง
ตัวข้าจะย่องเข้าไปหา จะไปลักเจ้ามาเสียจากช้าง
ทั้งสองคนรบเร้าเฝ้าชวนนาง จึงหัดใบไม้วางต่างเตียงนอน”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“นางฉลาดกวาดทรายกลายเป็นเรือน พูดขึ้นกล่นเกลือนดังฟูกหมอน
นางพิมนอนพลางกลางดินดอน เจ้าขุนช้างหัวกล้อนเข้านอนเคียง
พลายแก้วโดดแหวกเข้าแทรกกลาง ชุกหัวขุนช้างที่กลางเกลี้ยง
ขุนช้างทำหลับอยู่กับเตียง ฝ่ายนางพิมนอนเคียงเข้าเมียงมอง
ขุนช้างวางร้องก้องกู่โวย ขโมยลักเมียกูจู่จากห้อง
ลุกขึ้นงุ่นง่านเที่ยวชานร้อง เรียกหาพวกพร้องให้ติดตาม”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

“ท่านผู้ฟังทั้งสิ้นอย่ากินแหนง จะประดิษฐ์คิดแต่งก็หาไม่
เด็กอุตริเล่นหากเป็นไป เทวทูตดลใจให้ประจักษ์ตา
เด็กเล่นสิ่งไรก็ไม่ผิด ทุจริตก็เป็นเหมือนปากว่า
อันคดีมีแต่โบราณมา ตำรานี้มีอยู่ในสุพรรณฯ”

(หอสมุดแห่งชาติ. 2513 : 11-12)

ส่วนในวรรณคดีเรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ฉบับ 13 กัณฑ์ (2511 : 19) ตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง การเล่นเลี่ยนแบบเช่นกันว่า พระเวสสันดรเล่นให้ทาน ดังบทที่ว่า

“มหาสตฺโต อันว่าพระบรมพุทธองค์โพธิญาณ เสด็จจากอุทรสถานพระมารดา อกฺชินี อุมฺมีเลตฺวา ลืมพระเนตรทั้งซ้ายขวาเหยียดพระกร จึงทูลวอนพระมารดาว่า อมมฺ ข้าแต่พระแม่เจ้ายักิญจิ ธนํ ทรัพย์อันใดของเราที่บรรดามี พระลูกนี้จะบำเพ็ญทาน” การเล่นเลียนแบบผู้ใหญ่เกี่ยวกับการหุงหาอาหาร หรือบางทีเรียกว่า การเล่นหม้อข้าวหม้อแกง ได้มีการกล่าวถึงไว้ในวรรณคดีเรื่อง ฟื้นความหลังของพระยาอนุมานราชทนไว้เช่นกันว่าเป็นการเล่นของเด็กหญิง ส่วนเด็กชายเล่นตีกลองหม้อตาลและขว้างแตกโพละ อุปกรณ์หรือเครื่องมือประกอบการเล่น เช่น ลูกหนังมีใช้แต่ไม่แพร่หลายเพราะราคาแพง เด็ก ๆ จะทำอุปกรณ์ในการเล่นเองหรือไม่ก็ให้ผู้ใหญ่ช่วยทำ เช่น ม้าก้านกล้วย ปืนก้านกล้วย หรือตะกร้อสานด้วยทางมะพร้าวสำหรับใช้โยนหรือเตะเล่น (อนุมานราชธน. 2510 : 127)

นอกเหนือจากการเล่นที่ได้กล่าวถึงในวรรณคดีสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแล้ว ยังมีการเล่นที่เป็นที่นิยมเล่นกลางแจ้ง ที่เล่นสืบเนื่องกันมาที่พอหาดูได้ ได้แก่ กาฟักไข่ เขย่งเก็ง กอย ตี่ รีรีข้าวสาร ขี้ตู่กลางนา เตย งูกินหางหรือแม่งู ช่วงชัย มอญซ่อนผ้า ไอ้โม่ง วิ่งเปี้ยว เสือข้ามห้วย เสือกินวัว ปลาหมอตกกระทะ และโพงพาง เป็นต้น (กุลทรัพย์ เกษแม่นกิจ. 2517 : 18-20) ส่วนเกมที่เล่นกันในเรือนหรือใต้ถุนบ้าน ได้แก่ เสือตกถัง หมากเก็บ ลิงชิงหลัก และ แมงมุม เป็นต้น (ปราโมทย์ ประสานฉิม. 8 สิงหาคม 2533) เด็กในสมัยก่อนมีบทบาทอิสระ

ในการเล่น มีการคิดเกมการเล่นต่าง ๆ และคิดตั้งกฎเกณฑ์ในการเล่นด้วยตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์การเล่นด้วยตนเอง ไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ปกครองและครูเช่นในปัจจุบัน

แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย

ข้อเขียน-บทความ »

» จินตนา แก้วขาว กราบเธอที่ดวงใจ
» ทะริด ตะนาวศรี คนไทยที่ถูกลืม
» ปู่เย็น ณ สะพานลำใย แห่งลุ่มแม่น้ำเพชรบุรี

» จอมยุทธ แห่งบ้านจอมยุทธ (รวมงานเขียน)
» ฉายเดี่ยว (รวมงานเขียน)
» งูเขียว หางบอบช้ำ (รวมงานเขียน)

» ตีหัวเข้าบ้าน ตะคอกโลก ตีหัวหมา
» ผายลมนี้มีผลย้อนหลัง
» ได้แต่หวังว่า เราจะอยู่ร่วมกันได้บนโลกที่เปรียบเสมือนบ้านของเราใบนี้ ด้วยความรู้สึกที่ดีประดุจดั่งกินข้าวจากหม้อเดียวกัน

» ขอเป็นตาแก่ขี้บ่นในหัวใจเธอ
» เมื่อคนขับรถปลอมตัวไปเล่นหุ้น (บันทึกการเล่นสด)

นิยาย-เรื่องสั้น »

» ตำนานบันลือโลก
» บันทึกทรราชย์
» ผมเกือบได้เป็นนักแต่งเพลงชื่อดังเสียแล้ว
» ชีวิตเริ่มต้นอีกครั้งหลังเกษียณ
» แสนยานุภาพแห่งการรอคอย