ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พุทธประวัติ ฉบับสำหรับยุวชน
พุทธทาสภิกขุ แปลและเรียบเรียงจาก ฉบับภาษาอังกฤษ ของ ภิกษุสีลาจาระ (J.F. Mc kechnie)
ตอนที่ 7
พระมหากรุณาธิคุณ
เมื่อได้ประทับอยู่ ณ ป่าริมแม่น้ำ ที่พระองค์ได้เสด็จจากนายฉันนะนั้น
ชั่วขณะหนึ่งแล้ว
เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งบัดนี้อยู่ในสภาพแห่งนักบวชผู้กระทำภิกขาจาร
ได้เสด็จมุ่งหน้าสู่ทิศใต้ตรงไปยังประเทศมคธ
พระองค์เสด็จถึงราชธานีชื่อ นครราชคฤห์
อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งประเทศนั้น ในพระนครนั้น
พระสิทธัตถะทรงถือภาชนะขออาหารเสด็จไปตามท้องถนนเพื่อการภิกขาจารเยี่ยงนักบวชทั้งหลาย
แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ปรากฏแก่สายตาของประชาชนว่า
มิได้เป็นเช่นนักบวชตามธรรมดาเลย
ประชาชนต่างสังเกตเห็นว่าพระองค์มีลักษณะผิดจากนักบวชธรรมดาหลายประการ
ดังนั้น
ก็พากันหาอาหารที่ดีที่สุดอันจะพึงมีมาถวายและใส่ลงในบาตรของพระองค์
เมื่อพระองค์ทรงรับอาหารได้พอสมควรแล้ว ก็เสด็จออกจากนคร
ไปสู่ที่อันสมควรแห่งหนึ่ง
ประทับนั่งเพื่อเตรียมฉันอาหารตามที่ได้รับมา
แต่ท่านทั้งหลายจงคิดดูเถิด ว่าอาหารที่ได้มาในวันนั้น
จะปรากฏในความรู้สึกของพระองค์อย่างไร พระองค์มีกำเนิดเป็นเจ้าชาย
ทรงประสพแต่พระกระยาหารอันประณีตที่สุด
มีผู้ปรนนิบัติให้เสวยด้วยอาการที่ประเล้าประโลมให้เป็นที่พึงพอใจที่สุด
ไม่ทรงเคยประสพอาหารชั้นเลว
ทั้งได้ระคนกันในภาชนะอันเดียวเช่นนี้มาก่อนเลย
ลำไส้ของพระองค์เริ่มกระอักกระอ่วนราวกะจะทันออกมาจากพระโอษฐ์
ในเมื่อได้ทรงก้มลงดูในบาตรอันเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิดนานาพรรณ
คละปนกันจนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร
พระองค์ไม่ทรงสามารถบังคับพระองค์เองให้เสวยอาหารเช่นนี้ได้
ทั้งทรงนึกใคร่จะขว้างทิ้งไปเสียโดยไม่เสวยอะไรเสียเลยจะดีกว่า
แต่ในที่สุด พระองค์ทรงยับยั้งความคิดเช่นนั้นไว้ได้
พระองค์ได้ทรงคิดและรำพึงกับพระองค์เองดังต่อไปนี้
สิทธัตถะ
เธอกำเนิดในราชสำนักแห่งขัตติยวงศ์อันใหญ่ยิ่ง มีอาหารทุกๆ ชนิด
ล้วนแต่เป็นอย่างดีสำหรับกินได้ตามปรารถนา ข้าวก็อย่างดี
แกงกับก็อย่างดีและเหลือเฟือ แต่แทนที่เธอจะอยู่กินอาหารเช่นนั้นในวัง
เธอกลับตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อออกมาเป็นนักบวชไร้บ้านเรือน
มีชีวิตอยู่ด้วยอาหารของคนขอทาน ตามที่คนใจบุญเขาจะบริจาคให้
แม้ในบัดนี้เธอก็ยังยืนยันความเป็นอย่างนั้นอยู่
ว่าเธอเป็นนักบวชที่ไร้บ้านเรือน แล้วบัดนี้เล่า
เธอกำลังจะขว้างทิ้งอาหารนี้เช่นนั้นหรือ เธอกำลังไม่ประสงค์จะกินอาหารชนิดที่เป็นของนักบวชผู้ไร้บ้านเรือน
ตามที่เขาให้มาอย่างไร เธอคิดว่าการทำเช่นนั้นเป็นการสมควรแล้วหรือ
พระสิทธัตถะทรงให้โอวาทแก่พระองค์เอง พร้อมทั้งเหตุผลนานาประการ
เพื่อปรับปรุงพระหฤทัยให้เหมาะสมแก่การที่จะต้องเป็นอยู่ด้วยอาหารของคนขอทาน
ตามธรรมเนียมของนักบวชทั้งหลาย
ในที่สุดแห่งการต่อสู้กันในภายในจิตใจครั้งนี้
พระองค์เป็นฝ่ายชนะความกระด้างถือตัว
ทรงหมดความรังเกียจในอาหารอันวางอยู่เฉพาะพระพักตร์
แล้วทรงเริ่มเสวยอาหารนั้น โดยปราศจากอาการอันกระสับกระส่ายแก่ประการใด
และไม่ต้องทรงลำบากพระทัยในการที่จะต้องฉันอาหารเช่นนั้นอีกสืบไป
ในครั้งนั้น ประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ได้พากันโจษจันถึงนักบวชแปลกหน้า
ซึ่งเข้ามาบิณฑบาตในนครเมื่อเช้านี้
ว่ามีลักษณะผิดแปลกจากนักบวชตามปรกติอย่างไม่อาจจะเทียบกันได้
ในความสง่างามและความมีลักษณะสูงส่ง
ข่าวอันนี้ได้แพร่สะพัดไปจนกระทั่งถึงวังหลวง ทราบถึงพระเจ้าพิมพิสาร
จนถึงกับพระองค์ได้ทรงส่งราชบุรุษออกติดตามเพื่อให้ทราบว่านักบวชผู้แปลกประหลาดนี้คือใครกัน
โดยเวลาไม่มากนัก ราชบุรุษผู้สื่อข่าวเหล่านั้น
ก็สามารถทราบเรื่องราวอันเกี่ยวกับพระสิทธัตถะได้ครบถ้วน
และพากันกลับมากราบทูลให้พระราชาของตนทราบว่า
นักบวชผู้นั้นคือพระโอรสองค์ใหญ่ของพระราชาแห่งชนชาวศากยะ
ทั้งเป็นทายาทผู้จะต้องสืบราชบัลลังก์อีกด้วย
แต่พระองค์ทรงสละสิ่งทั้งปวงออกบวชเป็นภิกษุ
เพื่อเสาะแสวงหาหนทางอันจะทำให้คนเราพ้นจากความครอบงำของความแก่ชรา
ความเจ็บไข้ และความตาย
เมื่อราชบุรุษกราบทูลดังนั้น
พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงสดับด้วยความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวง
พระองค์ไม่เคยทรงทราบมาแก่ก่อนว่า
มีนักบวชผู้ใดเคยออกบวชเพื่อเสาะแสวงหาสิ่งอันแปลกประหลาดเหนือกฎธรรมดาเช่นนั้น
แต่เมื่อฟังดูก็รู้สึกว่า เป็นการกระทำที่น่าเคารพบูชาอย่างยิ่ง
เป็นการเหมาะสมแก่เจ้าชายชาติชาตรีแท้จริง
และทั้งเป็นสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ว่าจักนำมาซึ่งความสำเร็จ
พระองค์ได้เสด็จไปทูลขอร้องให้พระสิทธัตถะประทับอยู่ในเขตนครของพระองค์
โดยพระองค์จักเป็นผู้ถวายอาหารบิณฑบาตและสิ่งอื่นๆ
อันจักเป็นเครื่องอำนวยความสะดวก
และนำมาซึ่งความสำเร็จในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ได้โดยง่าย
แต่พระสิทธัตถะทรงปฏิเสธ โดยตรัสว่า พระองค์ไม่อาจประทับอยู่ ณ
ที่ใดที่หนึ่ง แต่แห่งเดียว
ตลอดเวลาที่ยังไม่ทรงประสพสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ เมื่อเป็นดั่งนั้น
พระราชาได้ทรงขอร้องให้พระองค์ทรงรับคำว่า
เมื่อบรรลุถึงสิ่งซึ่งทรงประสงค์แล้ว จักเสด็จมาสู่นครของพระองค์ก่อน
เพื่อโปรดให้พระองค์และประชาชนๆ ได้ทราบถึงสิ่งนั้นด้วยเป็นพวกแรก
พระสิทธัตถะได้เสด็จจากนครราชคฤห์ตรงไปยังชนบทอันเต็มไปด้วยทิวเขาเป็นที่อยู่แห่งฤษีแลมุนี
นักบวชนานาชนิด
ซึ่งพระองค์ทรงหวังว่าบุคคลเหล่านี้จักสามารถช่วยให้พระองค์ได้ทรงศึกษา
และทราบถึงความจริงเรื่องชีวิต ความจริงเรื่องความตาย
ตลอดถึงสิ่งชั่วร้าย กล่าวคือความทุกข์ทรมาน
อันเนื่องกันอยู่กับชีวิตนั้น เพื่อหาหนทางกำจัดเสียโดยสิ้นเชิง
ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามหนทาง ได้ทรงเห็นฝุ่นฟุ้งตลบฟ้าลงมาจากภูเขา
พร้อมทั้งเสียงกีบสัตว์จำนวนมากกระทบกับพื้นดิน ครั้งเสด็จใกล้เข้าไป
ก็ทอดพระเนตรเห็นแพะและแกะฝูงใหญ่
ออกมาจากกลุ่มฝุ่นอันฟุ้งขึ้นดุจเมฆนั้น
ฝูงสัตว์ที่น่าสงสารนั้นกำลังถูกขับต้อนไปทางในเมือง ตอนท้ายๆ
ปลายฝูงอันยาวยืดนั้น มีลูกแกะอ่อนตัวหนึ่ง ขาเจ็บเป็นแผล
มีเลือดไหลโซม ต้องพยายามโขยกเขยกเดินไปตามฝูงด้วยความเจ็บปวดอันทรมาน
เมื่อพระสิทธัตถะทอดพระเนตรเห็นลูกแกะตัวนี้
และทั้งทรงสังเกตเห็นแกะที่เป็นแม่ของมันกำลังเดินวกวน
พะวงหน้าพะวงหลัง เพราะมีลูกเล็กที่จะต้องห่วงหลายตัว
พระหฤทัยของพระองค์ก็เต็มอัดอยู่ด้วยความกรุณา
พระองค์ทรงอุ้มลูกแกะแล้วเดินตามฝูงแกะไปข้างหลังพลางตรัสว่า สัตว์ที่น่าสงสารเอ๋ย ฉันกำลังจะไปหาพวกฤษีบนภูเขา
แต่มันก็เป็นความดีเท่ากันในการที่ฉันจะช่วยบรรเทาความทุกข์ของเจ้า
หรือในการที่ฉันจะไปนั่งสวดมนต์ภาวนากับบรรดาฤษีเหล่านั้นบนภูเขา
เมื่อพระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่คนเลี้ยงแกะซึ่งเดินตามข้างหลัง
ก็ตรัสถามว่า เขาจะต้อนฝูงแกะเหล่านี้ไปทางไหน
และทำไมเขาจึงต้อนแกะเหล่านี้ในเวลาเที่ยงวันเช่นนี้
แทนที่จะต้อนมันกลับจากที่เลี้ยงในเวลาเย็น
คนเหล่านั้นได้กราบทูลพระองค์ว่าเขาต้องทำตามคำสั่งซึ่งสั่งให้นำแพะและแกะอย่างละร้อยตัวไปสู่ภายในนครตอนกลางวันเสียแต่เนิ่น
เพื่อให้เป็นการพรักพร้อมที่จะประกอบการบูชามหายัญของพระราชาในตอนค่ำ
พระองค์ตรัสว่า ฉันจะไปกับพวกท่านด้วย
แล้วพระองค์ก็เสด็จตามฝูงแกะนั้นไป
ทรงอุ้มลูกแกะตัวน้อยนั้นไว้ในอ้อมพระหัตถ์ตลอดทาง (*เรื่องฝูงแกะนี้
ไม่มีในพุทธประวัติอย่างไทย)
เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงริมท่าน้ำแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่ง
เดินตรงมาหาพระองค์ ทำความเคารพอย่างนอบน้อมแล้วได้กล่าวกะพระองค์ว่า
ข้าแต่พระเป็นเจ้าสูงสุด พระองค์โปรดเมตตาแก่ดิฉัน
จงโปรดบอกให้ทราบเถิดว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาด ที่สามารถแก้ความตายได้นั้น
ดิฉันจักหาได้จากที่ไหน
เมื่อสตรีผู้นั้นได้เห็นอาการสนเท่ห์ของพระองค์ จึงได้กล่าวต่อไปอีกว่า
พระเป็นเจ้าได้ลืมเสียแล้วหรือ เมื่อวานนี้
ดิฉันได้นำลูกชายเล็กๆ ซึ่งเจ็บหนักจวนจะตาย
มาให้พระเป็นเจ้าดูที่ในเมือง และได้ถามถึงยา
ที่จะป้องกันไม่ให้ตายเพราะดิฉันมีลูกคนเดียว พระเป็นเจ้าได้ตอบว่า
มียาซึ่งอาจช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ถ้าดิฉันอาจหาเมล็ดผักกาดดำมาหนึ่งโกละ
จากเรือนซึ่งไม่เคยมีใครตายเลย !
พระสิทธัตถะได้ตรัสถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
และพระพักตร์อันยิ้มแย้มว่า
ก็เธอหาเมล็ดผักกาดนั้นได้มาแล้วหรือยังเล่า น้องหญิง
หญิงนั้นได้กราบทูลด้วยน้ำเสียงอันเศร้าที่สุดว่า หาไม่ได้เลย
พระเป็นเจ้า ดิฉันเที่ยวหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดอย่างที่ว่านั้นไม่ได้
แม้ดิฉันจะเที่ยวเสาะหาไปทุกบ้านทุกเรือนแล้ว และทุกๆ
คนเขาก็พากันเต็มใจจะให้ แต่พอดิฉันบอกเขาว่า
ฉันต้องการแต่เมล็ดผักกาดที่มีอยู่ในเรือนซึ่งยังไม่เคยมีคนตายมาก่อน
เขาจะพากันกล่าวว่าดิฉันพูดเรื่องที่น่าพิลึกกึกกือเกินไป
เพราะบ้านเรือนของคนเหล่านั้น ล้วนแต่มีคนตายในเรือนทั้งนั้น
บางเรือนยังเคยตายกันมากกว่าคนหนึ่ง บางคนบอกว่าเคยมีทาสตาย
บางคนว่าบิดาตาย บางคนว่าแม่ตาย บางคนว่าลูกชายตาย บางคนว่าลูกหญิงตาย
ทุกๆ บ้าน ทุกๆ เรือน ไม่ใครก็ใครได้ตายไปแล้วทั้งนั้น
ดิฉันจึงไม่แสวงหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดดังกล่าวนั้นได้จากที่ใดเลย
ดิฉันจักหาเมล็ดผักกาดชนิดนั้นมาแต่ไหน
ก่อนแต่ที่ลูกชายเพียงคนเดียวของดิฉันนี้จักตายไป จักไม่มีบ้านใด
บ้างหรือที่ไม่มีใครเคยตายเลย
พระสิทธัตถะได้ตรัสตอบแก่หญิงนั้น
ซึ่งบัดนี้ได้เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า เธอได้กล่าวเองแล้วมิใช่หรือว่า
ไม่มีบ้านเรือนหลังใดที่ไม่เคยมีใครตายเลย
เธอได้พบความจริงอันนี้แล้วด้วยตนเอง บัดนี้
เธอได้ทราบแล้วว่าความทุกข์เช่นนี้
มิใช่เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่เธอเฉพาะแต่ผู้เดียวในโลกนี้ บัดนี้
เธอได้ทราบด้วยตนเองแล้วว่า
คนทั้งโลกก็ร้องไห้เพราะเหตุอย่างเดียวกันกับเธอเต็มไปหมด จงกลับไปบ้าน
แล้วจัดการฝังศพลูกของเธอที่ตายแล้วเสียเถิดน้องหญิงเอ๋ย
ส่วนฉันนี้จักไปเสาะแสวงหาสิ่งซึ่งจักระงับความโศกของเธอ
และของคนทั้งหลาย หากพบแล้ว ฉันจะกลับมาอีก
และจะมาบอกเล่าสิ่งนั้นให้เธอทราบ
พระสิทธัตถะได้เสด็จตามฝูงแกะ
ซึ่งกำลังก้าวเข้าไปใกล้ความตายเข้าทุกทีนั้น กระทั่งถึงนคร
แล้วเสด็จต่อไปจนกระทั่งถึงวังหลวง อันเป็นที่ซึ่งจะมีการบูชายัญ ณ
ที่นั้น พระราชาประทับยืนอยู่กับหมู่นักบวช
ซึ่งกำลังสวดบทมนต์สรรเสริญคุณเทพเจ้าทั้งหลายอยู่
ในขณะนั้นไฟบนแท่นบูชายัญได้ติดขึ้นแล้ว
นักบวชเหล่านั้นก็พร้อมที่จะทำการบูชายัญด้วยฝูงสัตว์ที่เพิ่งมาถึง
ขณะที่หัวหน้านักบวชกำลังยกมีด
เงื้อขึ้นเพื่อจะตัดศีรษะแพะที่ถูกนำเข้ามาเป็นตัวแรก
พระสิทธัตถะได้ทรงก้าวเข้าตรงหน้า และหยุดยั้งการกระทำของเขาไว้
พระสิทธัตถะได้ตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสารว่า อย่าเลย มหาราช
อย่าให้ผู้บูชายัญเหล่านี้พร่าชีวิตสัตว์ที่น่าสงสารเหล่านั้นเลยพอตรัสเช่นนั้นแล้ว ก่อนที่ใครๆ
จะทราบว่าพระองค์จะทำอะไรต่อไป
พระองค์ได้ทรงรีบแก้เชือกหญ้าที่เขาใช้ผูกแพะตัวนั้นออก
และปล่อยให้มันกลับไปหาฝูงของมัน ไม่มีใครในที่นั้น แม้แต่พระราชาเอง
หรือแม้แต่หัวหน้านักบวชผู้ทำพิธีบูชายัญนั้น
ได้ทันเกิดความรู้สึกที่จะขัดขวางพระองค์
ในขณะที่พระองค์ทรงปล่อยสัตว์ตัวนั้นให้เป็นอิสระ ทั้งนี้
เป็นเพราะพระองค์ทรงมีท่าสง่างามและสูงส่ง
ครอบงำความรู้สึกของคนทั้งหลายในขณะนั้นเสียสิ้น
พระองค์ได้ตรัสแก่พระราชาและนักบวช
ผู้ประกอบพิธีบูชายัญ ตลอดถึงประชาชน ที่ได้พากันมาดูการบูชายัญนั้นให้ทราบถึง
ข้อที่ชีวิตนี้เป็นของที่น่าอัศจรรย์เพียงไร คือการที่ใครๆ ทำลายมันได้
แต่เมื่อทำลายลงไปแล้ว ใครก็ไม่อาจสร้างมันให้กลับขึ้นมาได้
พระองค์ได้ตรัสแก่คนที่ล้อมรอบอยู่ในที่นั้นว่า ทุกตัวสัตว์ซึ่งมีชีวิต
ย่อมรักชีวิต ย่อมกลัวต่อความตายเช่นเดียวกับมนุษย์ แล้วทำไม
มนุษย์จะมาใช้กำลังที่ตนมีเหนือสัตว์ผู้เป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ด้วยกันนั้น ให้เป็นไปในทางปล้นเอาชีวิต ซึ่งเป็นที่รักของมัน
ซึ่งน่าอัศจรรย์ดังกล่าวแล้วนั้น ไปเสียเล่า
พระองค์ตรัสต่อไปว่า ถ้ามนุษย์ปรารถนาจะได้รับความเมตตากรุณาแล้ว
ก็ควรแสดงความเมตตากรุณาออกไป ถ้ามนุษย์เป็นผู้ล้างผลาญชีวิต
เขาก็จะถูกล้างผลาญชีวิตเป็นการตอบแทนตามกฎความจริงซึ่งครองโลก
พระองค์ได้ตรัสถามเขาเหล่านั้นว่า
พระเป็นเจ้าพวกไหนกันที่เพลิดเพลินในโลหิตและแสวงหาความยินดีจากโลหิต ต้องเป็นพระเจ้าชนิดที่ไม่ดีเป็นแน่แท้
ผู้ที่แสวงหาความเพลิดเพลินจากความทุกข์ยากและชีวิตของผู้อื่นนั้นควรจะเป็นปีศาจร้าย
มากกว่าเป็นพระเป็นเจ้ามิใช่หรือ
พระองค์ได้ทรงสรุปว่า
ถ้าคนเราปรารถนาจะได้รับความสุขด้วยตนเองในอนาคตแล้ว
ก็ต้องไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่สัตว์อื่น แม้ที่ต่ำต้อยเพียงไร
ผู้ที่หว่านพืชพันธุ์แห่งความทุกข์ยากเศร้าโศกทรมานลงไปแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลย จักต้องได้เก็บเกี่ยวผลอันเกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน
พระสิทธัตถะได้ตรัสแก่พระราชาและนักบวช ผู้ประกอบการบูชายัญ
ตลอดถึงประชาชนชาวนครราชคฤห์เหล่านั้น ด้วยถ้อยคำเหล่านี้
และด้วยลักษณาการอันสุภาพอ่อนโยน เต็มไปด้วยความกรุณาอย่างแท้จริง
แต่ก็ทรงไว้ซึ่งอำนาจและกำลังอันเข้มแข็ง
ถึงกับเปลี่ยนจิตใจของพระราชาและนักบวชเหล่านั้นได้โดยสิ้นเชิง
จำเดิมแต่นั้นมา
พระราชาได้ทรงประกาศพระราชโองการตลอดราชอาณาจักรของพระองค์
ห้ามมิให้ผู้ใดประกอบการบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิตอีกต่อไป
ให้ประกอบแต่การบูชายัญด้วยสิ่งที่ไม่ต้องมีการล้างผลาญสัตว์ที่มีชีวิต
เช่น ดอกไม้ ผลไม้ ขนมหวาน และสิ่งอื่นๆ
ซึ่งไม่ต้องมีการฆ่าฟันทำลายชีวิตเลย พระเจ้าพิมพิสาร
ได้ทรงขอร้องต่อพระสิทธัตถะอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อให้ประทับอยู่ในอาณาจักรของพระองค์
และสั่งสอนชนทั้งหลายให้มีความเมตตาปรานีต่อสัตว์ที่มีชีวิตสืบไป
พระสิทธัตถะได้ทรงตอบขอบพระทัยในความหวังดีของพระราชา
แต่เนื่องจากพระองค์ยังไม่ได้ทรงประสบสิ่งซึ่งพระองค์กำลังทรงแสวงหา
พระองค์ไม่สามารถจะหยุดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
จักท่องเที่ยวต่อไปในที่ทุกหนทุกแห่ง
ในบรรดาชนผู้มีวิชาความรู้เป็นนักปราชญ์
กำเนิดพระสิทธัตถะ
วัยกุมาร
ในวัยรุ่น
ในวัยหนุ่ม
ความเบื่อหน่าย
การสละโลก
พระมหากรุณาธิคุณ
ความพยายามก่อนตรัสรู้
ประสพความสำเร็จ
ทรงประกาศพระธรรม
สิงคาลมาณพ
สารีบุตรและโมคคัลลานะ
เสด็จกบิลพัสดุ์
พุทธกิจประจำวัน
พระนางมหาปชาบดี
ปาฏิหาริย์
พระพุทธดำรัส
ความกรุณาของพระพุทธองค์
เทวทัต
ปรินิพพาน