สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
4 สังฆาธิปไตย
4.1.คำนิยาม
4.2.อุดมการณ์
4.3.หลักการ
4.4.อำนาจ
4.5.พระราชอำนาจ
4.6.บทลงโทษ
4.5.พระราชอำนาจ
อำนาจอีกประการหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นหลักคล้ายกับรัฐธรรมนูญที่ใคร ๆ จะ ละเมิดมิได้ คือพระองค์ทรงบัญญัติพระวินัยเอาไว้เพื่อให้เป็นกรอบการประพฤติสำหรับพระภิกษุ และพระวินัยนี้ก็คือกฎหมายสำหรับสงฆ์นั้นเอง ซึ่งสาเหตุที่พระองค์ทรงบัญญัติมีถึง 10 ประการ คือ
- เพื่อความดีงามแห่งสงฆ์
- เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์
- เพื่อข่มผู้เก้อยาก
- เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลอันเป็นที่รัก
- เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
- เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต
- เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
- เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
- เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม
- เพื่อถือตามพระวินัย
ดังนั้นเราจะเห็นว่า..
การบัญญัติพระวินัยเป็นเครื่องช่วยให้พระสงฆ์มีวินัยในตนเองและมีเกณฑ์
ในการประเมินตนเอง เมื่อเห็นว่าตนทำผิดพลาดไปจากมาตรฐาน
ความประพฤติที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้และความผิดพลาดนั้นไม่ร้ายแรง
ถึงขนาดต้องถูกขับออกจากหมู่คณะหรือขาดจากความเป็นพระภิกษุ
พระสงฆ์แต่ละรูปจะสารภาพความผิดพลาดต่อเพื่อนพระสงฆ์ด้วยกัน
พิธีสารภาพเรียกว่าการแสดงอาบัติ ซึ่งลงท้ายด้วยคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ทำผิด
อย่างนั้นอีกต่อไป (น ปุเนวํ กริสฺสามิ) และเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้
พระสงฆ์ปฏิบัติตนตามพระวินัยที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงกำหนด
ให้พระภิกษุนำศีลสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้เหล่านั้นมาสวดให้กันและกันฟังทุก
กึ่งเดือนในวันพระ 15 ค่ำ ประเพณีปฏิบัตินี้เรียกว่าการสวดปาฏิโมกข์
ในตอนจบของศีลสิกขาบทแต่ละข้อ ผู้สวดก็จะถามที่ประชุมสงฆ์ว่า
กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในศีลสิกขาบทนี้แล้วหรือ
(วิ.มหา.1/300/220)....
ดังนั้นภารกิจที่พระภิกษุจะต้องกระทำเป็นประจำคือการปลงอาบัติ เพื่อตรวจสอบตัวเองแล้วทำการสารภาพผิด และมุ่งปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อการสำรวมระวังในการประพฤติปฏิบัติในโอกาสต่อ ๆ ไป
เมื่อดูการบัญญัติพระธรรมวินัยตั้งแต่ต้นแล้ว จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติพระวินัยอย่างระมัดระวัง ไม่ได้พลีพลาม หรือตั้งกฎเหล็กขึ้นมา พระองค์กลับกระทำการแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นขั้นเป็นตอน ไม่บัญญัติวินัยล่วงหน้า เมื่อมีเหตุเกิดขึ้นจึงทรงบัญญัติซึ่งเรียกว่านิทานบ้าง ปกรณ์บ้าง ทั้งนิทานและปกรณ์นี้เรียกว่า มูลแห่งพระบัญญัติ และพระบัญญัติที่ทรงตั้งไว้แล้วหากไม่มีความสะดวกก็จะทรงดัดแปลงตั้งเพิ่มเติมทีหลัง ไม่ได้เพิกถอนเสียทั้งหมด เรียกว่า อนุบัญญัติ ในเรื่องดังกล่าวนี้ พระมหาอุทัย ญาณธโร ได้วิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวนี้เอาไว้ว่า
พระพุทธองค์ในฐานะพระศาสนดาของพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีความเที่ยงธรรมใน
การบัญญัติกฎวินัยแก่พระสงฆ์ ไม่ทรงทำตามพละการ แต่ตามเหตุผลความถูกต้อง
และความเห็นร่วมกันของสงฆ์
เราจึงสามารถพบวิธีการบัญญัติกฎที่เป็นแบบอย่างได้
วิธีการดังกล่าวนี้จำแนกได้เป็น 4 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก เมื่อมีเหตุให้ต้องบัญญัติวินัย
ทรงเรียกประชุมคณะสงฆ์เพื่อชี้แจงให้ทราบ พระองค์ไม่เคยทรงบัญญัติวินัยมากดขี่สงฆ์ก่อน
แต่จะใช้วิธีชี้แนะ สั่งสอน เมื่อยังไม่ได้ผลจึงบัญญัติพระวินัย วิธีการทางพุทธศาสนา
จึงเป็นธรรมนำวินัย หรือแนะนำก่อนออกกฎหมาย ขั้นตอนที่สอง ตรัสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ยกมูลเหตุนั้นมาสอบสวนจนเป็นที่แน่ชัดเพื่อที่จะได้บัญญัติวินัยที่เหมาะสม พระองค์ไม่เคย
ทรงปล่อยให้ความเลวร้ายเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ทรงใช้โอกาสจากเหตุการณ์ที่ประจักษ์จริงสร้าง
กฏเพื่อไม่ให้เกิดความเลวร้ายขึ้นอีกต่อไป ขั้นตอนที่สาม ชี้แจงโทษของการกระทำอย่างนั้น
และผลดีในการละเว้นก่อนจะมีการบัญญัติวินัย พระองค์จะจำแนกเหตุผลให้เห็นอย่างชัดเจน
ทรงชี้แจงให้สงฆ์เข้าใจเหตุผลและยอมรับก่อน ขั้นตอนที่สี่ ทรงบัญญัติวินัยที่จะเป็นหลักควบคุม
ความประพฤติของสงฆ์โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น ให้แข็งขึ้น หรืออ่อนลง เป็นต้น
ให้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์
วิธีการของพุทธศาสนา
อาจเป็นแนวทางหนึ่งในการแสวงหาสมมติภาพของกฎหมายแห่งรัฐ สรุปความได้ดังนี้
ประการแรก กฎหมายต้องไม่ใช่ถูกบัญญัติมาเพื่อกดขี่ประชาชน ประการที่สอง กฎหมายต้อง
มีการปรับปรุงให้ทันเหตุการณ์และสถานการณ์อยู่เสมอ ประการที่สาม กฎหมายต้อง
ได้รับการเห็นร่วมจากมหาชนในสังคมประชาชนต้องเข้าใจถึงผลดีของการมีกฎหมายนั้น
และทราบถึงผลเสียงของการไม่มีกฎหมายอย่างชัดเจน ประการที่สี่ มีการเปลี่ยนแปลง
ให้เป็นไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์