ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง ปฏิวัติภายนอกกับภายใน
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2520
2
ความจริงมันก็ไม่ถูกต้องนั่นแหละ ที่เราทำไป มันก็มีความผิดพลาด
มีความเสียหาย การพนันนี่มันเรื่องลับ เรื่องลับมันเสียหายได้ง่าย
เพราะไม่เปิดเผยแก่ใคร เลยเกิดความเสียหายได้ง่าย อันนี้เป็นตัวอย่าง
หรือบางทีเพื่อนมาชวนเราให้ลงทุนค้าขายอะไรต่างๆ คนที่มาชวนนั้น
เป็นนักพูดเรียกว่านักโฆษณา อ้างเหตุอ้างผลสถิติอะไรต่ออะไร
มองเห็นไปหมดเลย เห็นแต่เรื่องได้ ไม่ได้คิดว่ามันเสียช่องไหนบ้าง
นี่คิดการหลงกลแล้ว ตกหลุมพลางแล้ว หลุมพลางที่เขาขุดไว้สวยสดงดงาม
ว่าถ้าทำแล้วจะได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ จะมีกำไรอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ไม่ได้คิดว่าอุปสรรคมันมีหรือเปล่า ข้อขัดข้องมันมีหรือเปล่า
คนเราบางทีคิดแต่เรื่องที่จะได้ แต่เรื่องเสียไม่คิด ไม่คิดถึงว่า
ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ เช่นสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
ดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงไป หรืออะไรๆ เกิดขึ้นโดยไม่รู้
เรื่องที่เกิดขึ้นโดยเราไม่รู้มันมีบ่อยๆ เราจึงต้องคิดเผื่อไว้
ว่าเออถ้ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นอย่างนี้ เราจะทำอย่างไร
มีทางที่จะเสียหาย จะขาดทุนไหม มันต้องคิดให้รอบคอบ ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้ว
บางทีก็นึกว่า ไม่เหมาะเราไม่ควร จะเสี่ยงในเรื่องอย่างนั้น
อย่างเสี่ยงอะไรให้มันมากเกินไป โดยเฉพาะการลงทุน ไม่ว่าเรื่องอะไร
อย่าเสี่ยงให้มากเกินไป เพราะการเสี่ยงนั้นมันเป็นภัย บางทีมันจะได้
บางทีมันเสีย
ทีนี้เราก็เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน เรามีจิตใจมันไม่หนักแน่นพอ
พอเสียก็เสียอกเสียใจ มนุษย์เรานี่มันมีความหวังอยู่ในชีวิตทั้งนั้น
แต่ว่าขอฝากไว้อันหนึ่งว่า สิ่งที่เราหวังนั้น ไม่ใช่จะสมหวังทุกเรื่องไป
อันนี้สำคัญที่สุด ต้องคิดไว้ให้ดี อะไรก็ตามที่เราหวังนั้น
มันไม่สมหวังร้อยเปอร์เซ็นต์ มันอาจจะได้บ้าง อาจจะไม่ได้บ้าง
มันเป็นเรื่องธรรมดา เช่นการเรียนหนังสือของลูกเรา
เราอย่านึกว่าจะได้เสมอไป แต่ก็เตือนไว้เถอะ ให้เล่าเรียนเอาใจใส่
บางทีมันมันก็ไม่สมหวัง เช่นเวลาใกล้จะสอบไล่ เกิดเจ็บไข้ปุ๊บปั๊บขึ้นมา
แล้วก็ไม่ได้สอบ มันก็ไม่สมหวังแล้ว ปีนั้นสอบไม่ได้เราก็เสียอกเสียใจ
อย่างนี้มันก็มีอยู่
การทำงานทำการก็เหมือนกัน เราไปทำงานทำการเราอย่างนึก
ว่ามันจะราบรื่นเรียบร้อยเสมอไป อย่านึกว่าจะเหมือนคนอื่นทั้งหลายเขา
คนเรานั้นมันไม่เหมือนกัน อันนี้ต้องคิดไว้ในใจอันหนึ่งว่า
คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาก็ไม่เหมือนกัน อันนี้ต้องคิดไว้ในใจอันหนึ่งว่า
คนเราไม่เหมือนกัน สติปัญญาไม่เหมือนกัน สมรรถภาพไม่เหมือนกัน
การสังคมก็ไม่เหมือนกัน คนสามคนสองคน เข้าทำงานในที่เดียวกัน
แต่บางคนก้าวไปไกล บางคนก้าวไปนิดหนึ่ง บางคนหลังเพื่อนเลย มันเพราะอะไร
มันไม่ใช่เพราะเรื่องดวง เรื่องดาวอะไร
แต่ว่าเรื่องการกระทำมันไม่สม่ำเสมอกัน คนที่ก้าวไปไกลนั้น
เขาอาจจะมีอะไรหลายอย่างในตัวเขา ที่เขาได้ก้าวไปข้างหน้า เราควรจะศึกษา
ควรจะสังเกตเขา ที่เขาได้ก้าวไปข้างหน้า ควรจะสังเกตคนนั้น ศึกษาว่า
เขาเป็นมีความรู้ ความสามารถอย่างไร การติดต่อ
การสมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่ในวงงานวงการ เป็นอย่างไร
นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างไร แล้วเอามาเปรียบกับเราว่าเรา มันขาดอะไรบ้าง
ที่คนนั้นมีเรามีไหม ไม่ใช่วัดแต่ความรู้กันอย่างเดียว
ความรู้ว่าสอบไล่ได้ ที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน ปริญญาที่ได้ก็ไม่เท่ากัน
บางคนสอบสี่ปีได้ บางคนตั้งห้าปีหกปีจึงจะได้ เวลาก็ไม่เท่ากันแล้ว
การเรียนก็ไม่เท่ากัน แล้วเวลาออกไปทำงานมันก็ไม่เท่ากัน ความไหวพริบ
ความคิดนึกตรึกตรอง การรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ การเข้าใกล้
การสมาคมกับคนเหล่านั้น มันมีอะไรบกพร่องบ้าง ในตัวของเรานั้น
เราจะต้องพิจารณา ต้องปรับปรุง อย่าลงโทษตัวเองเสียท่าเดียว
ว่าเรานี่มันแย่ดวงไม่ดีเลย สู้คนนั้นไม่ได้ สู้คนนี้ไม่ได้
เรื่องการโทษดวงนี้แหละ มันทำให้เสียหายอยู่ คือเมื่อโทษดวงแล้ว
เราก็ไม่พิจารณาตัวเอง ไม่ศึกษาค้นคว้าในตัวเรา ว่าเราบกพร่องอะไร
เราเสียหายอะไร เราก็ไม่คิดแก้ไข เพราะไปโทษดวงเสียแล้ว
แต่ถ้าเราคิดว่า เราต้องศึกษาที่ตัวเราเอง ว่าเรานี่บกพร่องอะไร
ดูเพื่อนเขาก่อน เพื่อนที่ทำงานในสำนักงานเดียวกัน ว่าเขาเก่งอะไรบ้าง
ความรู้ความสามารถ กิริยาท่าทาง การเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ มันหลายเรื่อง
ไม่ใช่เรื่องเดียว ที่จะทำคนให้ก้าวหน้า ไม่ใช่มีวิชาแล้ว
มันจะก้าวพรวดพลาดไปได้เมื่อไหร่ บางคนมีวิชาแต่ไปไม่รอดก็มี
บางคนมีวิชามีไม่เท่าไหร่ แต่ว่ามีอย่างอื่นดีหลายอย่าง ที่ประกอบกัน
เราก็ต้องพิจารณา ศึกษาในเรื่องคนนั้น คนนี้ ว่าเขามีดีอะไร
อย่าไปพูดว่าคนดวงมันดี นั่นมันขึ้นไปแล้วพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ปัญญา
แต่เราต้องศึกษาว่าเขาดีอย่างไร ทำงานเป็นอย่างไร
สมาคมกับผู้หลักผู้ใหญ่เป็นอย่างไร ใกล้ชิดกับผู้หลักผู้ใหญ่ไหม
เขาใกล้ชิดผู้ใหญ่ เขาคุ้นเคยกับผู้หลักผู้ใหญ่ เราไม่คุ้นเคย
งานการเราก็ไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่ มันหลายเรื่องหลายประการ
เราพิจารณาอย่างนี้ ก็ไม่น้อยใจในตัวเอง แต่จะรู้จักตัวเอง
ว่าเรามันมีอะไรบกพร่อง ที่เราจะต้องแก้ไขปรับปรุงต่อไป แล้วเราพยายามแก้ไข
ปรับปรุง ดูคนอื่นแล้วทำตามเขาบ้างในเรื่องที่มันดี มันมีประโยชน์
แต่ว่าเรื่องใดที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์เราไม่เอา เอาแต่เรื่องดี
ก็มนุษย์ในโลกนี้ชอบคนดีกันทั้งนั้น แต่เราต้องทำให้เขาเห็น ทำดีให้ปรากฏ
อย่างนี้เราก็พอไปรอด ไม่ตกต่ำอะไรมากเกินไป
นี่คือวิธีการแก้ไขปัญหาชีวิตของเราได้ ในเรื่องการติดต่อการงาน
การสมาคมอะไรต่างๆ คนบางคนมันเป็นอย่างนี้ อาตมาเคยสังเกต
ไม่ค่อยจะเข้าหาผู้หลักผู้ใหญ่ ทำงานแต่ว่าไม่รู้จักผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่เขาก็ไม่รู้จักเรา อันนี้มันก็เสียหาย เราอยู่กับใคร
ต้องทำความคุ้นเคยกับผู้นั้น ต้องเข้าใกล้ ต้องหาโอกาสให้ได้พบกันบ่อยๆ
จะได้รับใช้จะได้ใกล้ชิด คนเราถ้าได้รับใช้ได้ใกล้ชิดแล้ว มันก็นึกได้
มีอะไรก็นึกถึง คนที่ไม่เข้าใกล้เลย มันนึกไม่ออก ว่าเอ๊ะคนนั้นคนนี้
มันเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอะไร พระในวัดมีหลายๆ องค์
พระบางองค์ไม่เคยเข้าใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ
เพราะเวลานิมนต์นี้ต้องนึกว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้ๆ
พอนึกแล้วคนนั้นผุดขึ้นในใจ แล้วนิมนต์องค์ที่ใคร
องค์ที่ไกลออกไปไม่เคยอะไร พระในวัดมีหลายๆองค์
พระบางองค์ไม่เคยเข้าใกล้สมภาร แล้วสมภารก็ไม่ค่อยนิมนต์ไปงานไปการ
เพราะเวลานิมนต์นี้ กว่าจะนิมนต์ใคร เห็นหน้าแต่คนที่อยู่ใกล้
องค์ที่ไกลออกไป ไม่เคยโผล่หน้ามาเยี่ยมกุฏิสมภารเลย เขาก็นึกไม่ออก
เมื่อเขานึกไม่ออก เมื่อเขานิมนต์เลยสมภารท่าจะไม่ชอบเรา
แล้วนั่งใบ้อยู่คนเดียว
ทีนี้เราก็นึกว่าเรานี้เข้าใกล้ผู้ใหญ่บ้างหรือเปล่า
รู้ไหมว่าเขาทำอะไรบ้าง บางคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่ว่าอยู่วัดอยู่บ้าน
ไม่สนใจที่จะช่วยงานช่วยการใครๆ
เคยมีคราวหนึ่งที่ชลประทาน เขาเปิดเขื่อนยันฮีในหลวงเสด็จ
พรุ่งนี้ในหลวงเสด็จแล้ว พลับพลาที่ประทับยังพ่นสีกันอยู่เลย
ปกติเขาก็ทำอย่างนั้น ยังพ่นสีอยู่กันอยู่ทำงานทำการ
อธิบดีท่านไปยกโต๊ะเก้าอี้อยู่เอง ไม่ใช่ไปนั่งชี้นิ้ว อธิบดีหม่อมชูชาติ
ท่านทำด้วย ท่านไปยกนั่นจับนี่จับโน่นทีเดียว
เพราะคนอื่นทำไม่ถูกใจท่านทำเอง ข้าราชการคนหนึ่งใส่เสื้อฮาวายลายพล้อย
ยืนเอามือไขว้หลังดูเฉยอยู่นั่น มองๆ มันไม่รู้สึกตัว ยังยืนเอามือไขว้หลัง
ทำตัวเป็นนายห้างใหญ่อยู่นั่นเอง ท่านอธิบดีท่านรำคาญขึ้นมา
ท่านเข้าไปถามว่า คุณมาจากไหนไม่ทราบ กระผมทำงานกรมชลฯ มาทำอะไร มาราชการ
พรุ่งนี้ถึงวันเปิดจะได้ทำงานทำการ ชื่ออะไร อธิบดีจดชื่อเอาไว้
ตั้งแต่นั้นไม่ได้ขึ้นเงินเดือน จนท่านอธิบดีลาออกไม่ได้เลย
นี่แหละเขาเรียกว่ามันไม่เข้าเรื่อง นายทำอะไร ทำไมไปยืนดูนาย
มันควรจะเข้าช่วยรื้อขอ งช่วยจัด ช่วยแต่ง ก็เป็นที่พอใจของท่าน
ว่าเอออ้ายนี่มันใช้ได้ คนมีหัวใจ คือไม่ดูดาย
เห็นเขาทำอะไรก็ไปช่วยทำกับเขามั่ง คนบางคนมันใจไม้ไส้ระกำเสียจริงๆ
เห็นใครทำอะไรก็เฉย ไม่สนใจ ไม่รู้เรื่องอะไร อยู่แต่ในที่ของตัว
ไม่ได้ทำอะไร ผู้ใหญ่ทำอะไรก็เข้าไปใกล้ เข้าไปช่วยเหลือ ให้คุ้นเคยกัน
แล้วทีหลังสะดวก เพียงเท่านี้ก็ชื่นใจแล้ว หรือให้เกิดความคุ้นเคย
หรือมิฉะนั้น เราไปศึกษาหารือกับผู้ใหญ่ จะทำอะไรเขาสั่งให้ทำแล้ว
ความจริงเราอาจจะรู้ว่าทำอย่างไร แต่มันก็ต้องมีกุสโลบายบ้างผู้หลักผู้ใหญ่
ไปถึง แหมเรื่องนี้กระผมยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าปฏิบัติอย่างไร
อยากจะมาหารือในเรื่องนี้สักเล็กน้อย ผู้ใหญ่ท่านคงจะภูมิใจ
ในการที่เราเข้าไปศึกษาไต่ถามอย่างนั้น ท่านไม่เกลียดหรอกในเรื่องนั้น
ท่านอยากจะให้เราไต่ถาม ท่านจะได้แนะนำ คนเรามันภูมิใจ
ในเมื่อคนอื่นมาศึกษาเล่าเรียนกับเรา ท่านก็ต้องแนะนำอย่างนั้นอย่างนี้
เราก็จำไว้จดไว้บันทึกไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ อย่างฟังเฉยๆ ฟังเฉยๆ
บางทีมันก็ลืมเสีย บอกก็จดไว้ จดผิดจดถูกจดไว้ก็แล้วกัน
ท่านเห็นว่าเราเอาความรู้ของท่านของท่านไปใช้ แล้วไปทำ แล้วก็ควรจะไปหาท่าน
บอกว่า แหมสิ่งที่ใต้เท้าแนะนำไปวันนั้น ผมได้ลองเอาไปปฏิบัติแล้ว
ได้ผลสมความตั้งใจ อย่าไปทำแล้วหายหัวไปเลย ไม่รู้ว่าทำหรือเปล่า
อันนี้ธรรมเนียมไทยก็มีอยู่แล้ว เขาว่าไปลามาไหว้ไปไหนต้องไปลา
การไปปรึกษาหารือก็คือไปลานั่นแหละ
มาไหว้คือต้องไปบอกให้รู้ว่าได้ไปทำอะไรมา ทำเรียบร้อยหรือเปล่า
มีปัญหาอะไร มีข้อขัดข้องอะไรบ้าง แล้วก็มารายงานให้ท่านรู้ ท่านก็พอใจ
ว่าเรานี่ได้ไปทำงานได้เรียบร้อย ถ้ามีอุปสรรคขัดข้องมารายงาน
ว่ามีข้อขัดข้องอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่สะดวก ท่านก็จะได้คิดแก้ไขต่อไป
นี่เขาเรียกว่าประสานงานกับผู้ใหญ่ หมั่นเข้าใกล้บ่อยๆ
เคยไปเทศน์สอนข้าราชการอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นว่าวันเกิดของนาย
บางคนไปเอาโน้นตอนเย็น จะไปกินเลี้ยงเลย อย่างนี้มันจะได้เรื่องอะไร
เราจะไปอวยพรนายไปเช้าๆ คนมันเยอะถ้าเราไปหลังเพื่อน นายตาลายเสียแล้ว
คนมันมากจำไม่ได้ รับๆ วางๆ ไว้ของใครก็ไม่รู้ จำไม่ได้ มันไม่ประทับใจ
เราจะให้ประทับใจต้องไปเช้ามืด ไปยืนรออยู่ตรงประตู
พอคนใช้เปิดประตูเราก็เข้าไปเลย อยู่ที่หน้าบ้าน พอท่านออกมาจะทำบุญใส่บาตร
ตรงเข้าไปกราบอวยพร ขอให้ใต้เท้ามีความสุข
มีความเจริญแล้วก็บอกว่าผมผู้น้อย ไม่มีเงินมีทองมีของขวัญอะไรมาฝาก
เล็กน้อย ไม่ต้องแพงของฝาก ดอกไม้สักช่อหนึ่งก็เรียกว่าน้ำใจ
แต่ถ้าเราไปเช้าแจ่มใสอารมณ์กำลังดี เห็นหน้าเราก็จำได้
เออไอ้นี่มาอวยพรเราแต่เช้า ถ้าเราไปบ่ายเลือนหมดแล้ว จำไม่ได้
มาถึงก็วางไว้ก่อน คนมันมาก มันยุ่ง นี่เขาเรียกว่าไม่รู้จักเวลา
จะไปไหนจะต้องไปก่อนเพื่อน ทำอะไรมันต้องรู้จักทำ
อย่างนั้นเป็นศิลปเหมือนกัน ในเรื่องอย่างนี้ คนไม่ใช้แล้วก็ไปบ่นดวงไม่ดี
นี่มันก็ลำบากเรื่องชีวิต ที่เราใช้ธรรมใช้เหตุผล แล้วจะช่วยอะไรเราได้บ้าง
นอกจากปัญหาอย่างนี้แล้ว คนหนุ่มมักจะมีปัญหา
เรื่องเพศเรื่องแฟนอะไรอย่างนี้ บางทีก็ไปรักคนนั้นไว้
รักแล้วรักทุ่มเลยทีเดียว ทิ้งลงไปทั้งร้อยไม่เหลือเก็บไว้มั่ง
เลยเราอย่าไปรักเขาทั้งร้อย เผื่อๆ ไว้สักหน่อย มันไม่แน่นะ
เขาอาจจะเปลี่ยนแปลงได้วันหลัง ถ้าสมมติว่า ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงได้ในวันหลัง
ถ้าเราทุ่มไปทั้งร้อยไม่ไหว กลับไปไม่ทัน จะเสียใจว่า เราดวงไม่ดี
มีคู่รักมันก็เวร มันอาภัพ ปัตตนิมันไม่ดี ถ้าหมวดเลขเจ็ดเขาว่าอย่างนั้น
ปัตตนิ หมายถึง คู่ครองไม่ดี เกณฑ์คู่มันพลิกท้องทุกที แล้วก็เสียอกเสียใจ
ไอ้นี้มันไม่ได้ผิดที่ใครหรอก ผิดที่ว่าเรารักเขามากเกินไป
แล้วเขาเหวี่ยงปัดเราไป
ความจริงมันไม่ใช่เรื่องเสียอกเสียใจแล้ว เราควรจะคิดไว้ว่าก็รักเผื่อๆ
ไว้ทีหลังที่ตกลงเรียบร้อย ไว้เป็นคู่ครองกัน แต่ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงไปก็ช่าง
อย่าไปทุกข์ไปร้อนอะไรมากเกินไป อย่าทุ่มให้มันหมดตัว
อย่าไปยึดถือให้มันมากเกินไป ในสิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร บางคน แหม!
พอเมียตายเท่านั้นก็ฆ่าตัวตายเลย เหมือนกับวันก่อน
ที่อัยการหนุ่มเรียนกว่าจะได้เนติบัณฑิต
เป็นอัยการเป็นเวลาสิบปีไม่ใช่เวลาน้อยๆ แล้วก็มีลูกไว้สอง หญิงหนึ่ง
ชายหนึ่ง คิดถึงเมีย ไปเยี่ยมศพเมียบ่อยๆ ไปเยี่ยมด้วยความเขลา
ไม่ไปด้วยปัญญา ก็คิดว่าชีวิตมนุษย์ก็อย่างนี้ เกิดแล้วก็ต้องตาย
ที่วัดมกุฏฯ วัดโสมนัส ก็น่าจะรู้ว่า ที่นอนอยู่ไม่ใช่ตัวเดียว
มันเยอะแยะใครต่อใครมานอนอยู่ น่าจะเกิดปัญญา
แต่ไปก็ไม่ได้เกิดปัญญา นั่งเศร้าเสียใจ ไม่ใช่ไปมือเปล่าพกปืนไปด้วย
ไปยิงกับผีที่ป่าช้า พกปืนไปทำไม นี้เป็นความคิดที่ผิด แล้วเอาปืนไปด้วย
ผลที่สุดคิดถึงภรรยามากเกินไป นึกขึ้นมา ชีวิตอยู่ไม่ไหวแล้ว
ฉันขาดเธอมันไม่มีความหมาย นี่เขาเรียกว่าคิดแบบโง่ๆ ไม่ได้เรื่อง
เลยก็ยิงตัวตายในวัดมกุฏฯนั่นเอง
พูดให้มีปัญญามั่งแหละ คิดให้มีปัญญามั่งแหละ มันก็ไม่ฆ่าตัวตาย
ไปวัดแล้วก็นั่งอยู่ข้างโบสถ์คนเดียว โบสถ์มันพูดไม่ได้
นี้ลองเดินไปกุฏิพระมั่งจะเป็นไร ไปคุยกับเจ้าคุณนั้น เจ้าคุณนี้
เจ้าคุณจะได้คุยอะไรต่อไป ปัญญาจะได้เกิดขึ้นบ้าง นี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น
ไปนั่งคนเดียว ในเวลาทุกข์แล้วไม่ไปหาคน ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างเสามั่ง
ไปนั่งทุกข์อยู่ข้างฝามั่ง ไปหาสิ่งที่พูดด้วยไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
เรามันต้องไปหาคนแหละ หรือต้องไปหาพระ พระจะได้ถามสารทุกข์สุกดิบ
และแนะแนวทางให้เข้าใจ เรื่องอะไรมีปัญหาอะไร
พระท่านจะได้ชี้แจงตามแนวธรรมะ เราก็จะคลายจากความทุกข์ ความเดือดร้อน
เรามาศึกษามาไต่ถามปัญหา มีความกลุ้มใจก็มาวัดไห้พระท่านชี้แนะแนวทางให้
อันนี้มันจะได้ประโยชน์ไม่ต้องฆ่าตัวตาย คนใดมาพบพระแล้วไม่ตายหลายคนแล้วนะ
เด็กหนุ่มก็มี เด็กสาวก็มี กลุ้มใจ มาวัดแล้วไม่เป็นไร มาวัดแล้วไม่ตายแน่
มาพูดกันให้เช้าใจรู้เรื่องในชีวิตให้เข้าใจกลับไปเสียมั่ง
ก็จะได้เรียบร้อย บางทีจะยิงกันแล้ว พระยังช่วยไว้ได้
เพราะฉะนั้นเราต้องใช้ธรรมะไว้ ในการดำเนินชีวิตประจำวัน
ไม่ว่าเรื่องอะไรต้องคิดถึงธรรมะ เอาธรรมะเป็นหลักไว้เสมอๆ
แล้วเอาตัวรอดได้
ดังได้แสดงมาก็สมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงแค่นี้.
<< ย้อนกลับ
มองทุกให้เห็นจึงเป็นสุข
ทุกข์ซ้อนทุกข์
ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
มันเป็นเช่นนั้นเอง
ศีลธรรมและสัจจธรรม
แหล่งเกิดความทุกข์
องค์สามของความดี
หลักใจ
ทำดีเสียก่อนตาย
ตามรอยพุทธบาท
ฐานของชีวิต
ความพอใจเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ชั่งหัวมัน
อนัตตาพาสุขใจ
ฤกษ์ยามที่ดี
อดีต ปัจจุบัน อนาคต
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
สำนึกสร้างปัญญา
สอนลูกให้ถูกวิธี
ปฏิวัติภายนอกกับภายใน
ร้อนกายไม่ร้อนใจ
อย่าโง่กันนักเลย
การทำศพแบบประหยัด
คนดีที่โลกนับถือ
ความจริงอันประเสริฐ
เสรีต้องมีธรรม
ทาน-บริจาค
เกียรติคุณของพระธรรม
เกียรติคุณของพระธรรม (2)
พักกาย พักใจ
เกิดดับ
การพึ่งธรรม
อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์
มรดกธรรม
ฝึกสติปัญญาปัญหาไม่มี
ทำให้ถูกธรรม
วางไม่เป็นเย็นไม่ได้