ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
เรื่อง เสรีต้องมีธรรม
วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2525
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งในฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์ อันเกิดขึ้นจากการฟัง ตามสมควรแก่เวลา
วันนี้นอกจากเป็นวันอาทิตย์แล้วยังเป็นวันพระด้วย เป็นวันดับ คือสิ้นเดือนคือเดือนเจ็ด พรุ่งนี้ก็ขึ้นค่ำหนึ่ง เดือนแปด อีกสิบห้าวันก็ถึงวันเข้าพรรษา ซึ่งเป็นฤดูกาลพิเศษ สำหรับพวกเราพุทธบริษัททั่วไป ในระยะนี้ก็เป็นเรื่องงาน เกี่ยวกับการบวชนาค ทั่วๆ ไปทุกหนทุกแห่ง ที่วัดนี้ก็มีการบวชนาคมากเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ได้บวชตอนนี้ บวชวันที่ 21 วันเสาร์แล้วก็บวชทุกวัน จนกระทั่งถึงวันที่ 4 จึงหยุด ญาติโยมที่มีลูกมีหลานที่จะบวช ก็พามาฝากกัน แต่บางคนที่มีความเสียใจที่รับไม่ได้ เพราะเพิ่งมาฝากเมื่อวานซืนนี่เอง เขา รับกันมาตั้งแต่เดือนเมษา แต่เพิ่งตื่นเอาไม่กี่วัน ก็เลยไม่มีที่จะรับ ก็เลยกลับไปด้วยความเสียใจ อาตมานี่ไม่ชอบปฏิเสธกับใครๆ แต่ว่าเมื่อมันจำเป็น ก็ต้องปฏิเสธด้วยความไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องปฏิเสธไป เพราะไม่มีที่อยู่ นี้ขอให้ญาติโยมรู้ไว้เสียด้วย
สำหรับวันนี้ ใคร่ขอทำความเข้าใจกับญาติโยมทั้งหลาย ในเรื่องบางประการ อันเป็นเรื่องที่จะช่วยให้เราดีขึ้น ให้ครอบครัวและสังคมดีขึ้น เป็นประโยชน์ เป็นความสุข แก่คนทุกถ้วนหน้า เพราะว่าความสุขในหมู่มนุษย์นี่ มันต้องช่วยกันทำ ถ้าไม่ช่วยกันจัดช่วยกันทำแล้ว ความสุขก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ว่าจะมีความทุกข์เกิดขึ้นแทน ความทุกข์กับความสุขนั้นเขามาด้วยกัน อยู่ไก้ลกัน เมื่อใดความทุกข์ออกแสดง ความสุขก็หลบเข้าฉากไป เวลาใดความสุขออกมาแสดง ความทุกข์ก็หลบเข้าฉากไป การจัดฉากนั้นเป็นเรื่องของเราเอง การบังคับเรื่องสุขทุกข์ในชีวิต ก็เป็นเรื่องของเราแต่ละคน ที่จะต้องจัดจะต้องทำให้แก่ตัวเอง ให้แก่ครอบครัวให้แก่สังคม ตลอดจนถึงส่วนรวม คือประเทศชาติ ถ้าเราจัดเป็นเราก็ได้รับความ สุขความสงบในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเราจัดไม่เป็น เราก็เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ
ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคนนั้น บางคนก็มีความทุกข์มาก บางคนก็มีความทุกข์น้อยๆ บางคนก็มีความทุกข์นานๆ ไม่รู้จักแบ่งทุกข์ออกจากใจ ไม่รู้จักแก้ไข แล้วผลที่สุด ก็ทำลายตัวเอง ถึงกับฆ่าตัวตาย เมื่อตอนเช้าฟังข่าว เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ซึ่งความจริงก็มีการศึกษาพอสมควร เพราะทำงานในตำแหน่งราชการ แต่ว่าเกิดไปรักหญิงคนหนึ่ง แต่เขาไม่รักแกแกก็เลยเสียใจ เข้าห้องปิดประตู แล้วก็เอาปืนมาสังหารตัวเอง ถึงแก่ความตาย ได้ฟังข่าวแล้วก็นึกในใจว่า มันโง่จริงๆ เจ้าหนุ่มคนนั้นมันโง่จริงๆ มีแต่ความโง่อยู่ในดวงใจ ไม่มีปัญญาไม่มีความคิดความอ่าน ผู้หญิงในโลกมันไม่ใช่มีคนเดียว เมื่อคนนั้นไม่รักเราก็หาคนที่จะรักเราก็ได้ แต่ว่าไปปักใจ เอาแม่โฉมยงคนนั้นคนเดียว พอเขาเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ตัวก็ไม่สบายใจ ฆ่าตัวตาย ไม่ได้คิดในแง่อื่นเสียบ้าง ว่าเรายังไม่ได้แต่งงานกัน แล้วเขาไปรักคนอื่นเสีย มันก็ดีแล้วถ้าเรา แต่งกันแล้วไปรักคนอื่น เราก็จะยิ่งช้ำใจไปมากกว่านั้น ไอ้นี่ช้ำนิดหน่อยไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียเงินทองค่าขันหมาก ไม่ต้องเลี้ยงดูเพื่อน เขาจากไปเสียก่อนก็ควรจะไปขอบใจเขา ควรจะแสดงความดีใจ ว่าเธอแสดงให้ฉันเห็นเสียก่อน ขอบใจมาก ฉันไม่ถลำมากเกินไป มันก็ไม่มีเรื่องอะไร ที่จะต้องเสียอกเสียใจ จนถึงจะฆ่าตัวตาย
แต่ว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า คนมันไม่ได้เข้าวัดไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะเพื่อเป็น เครื่องสะกิดใจ พ่อแม่ก็ไม่ได้เอาธรรมะไปใช้ ให้ลูกเกิดความรู้เกิดความเข้าใจ นี่แหละคือความ ผิดพลาดในวิถีชีวิตของชาวโลก ในสังคมยุคปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เราจะต้องช่วยกัน ให้คนเข้าถึงธรรมะ ให้รู้จักหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาแต่เบื้องต้น คือต้องให้มันรู้ตั้งแต่เด็กๆ แต่บางทีนั้นพ่อแม่ ไม่ค่อยประสีประสา ในเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ นับถือพระศาสนาก็เพียงแต่ชื่อ เราจึงต้องหาทางช่วยกัน โดยวิธีอื่น วิธีที่จะช่วยกันนั้น คือว่าเราจะต้องสอนเด็ก ให้เข้าถึงพระศาสนา ในวันที่เขาหยุดเล่าเรียน เช่นวันอาทิตย์นี่ เด็กหยุดการเรียน ไม่ไปโรงเรียน พ่อแม่ก็ควรจะนึกว่า ลูกเราว่างจากการเรียนวันอาทิตย์ วัดไหนเขามีการสอนพุทธศาสนา ให้แก่เด็กวันอาทิตย์บ้าง เราก็ควรเอาลูกไปฝากให้เรียน เพื่อให้เข้าถึงธรรมะ ได้รู้ไว้เอาไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตประจำวันต่อไป อันนี้เป็นความถูกต้อง ที่พ่อแม่ควรกระทำ
ทางวัดถ้าพอจัดได้ ก็ควรจะจัดจะทำโรงเรียนประเภทนี้ขึ้น ในวัดนี้ก็ได้จัดมาเป็นเวลานานแล้ว เป็นสิบๆ ปี แต่ว่าสถานที่มันไม่ใช่เป็นของเรา ก็อึดอัดอยู่บ้าง แต่ก็ทำไปได้ ในเวลานี้ก็คิดว่าจะทำของ เราเอง คล้ายจะให้ญาติโยมอิ่มใจสักนิดว่า เวลานี้ได้ปักผังตอกเข็มแล้ว วันนี้แหละที่เขาจะมาปักเข็ม เอาไม้ปักกันตรงนั้น สถาปนิกกับนายช่าง เขาจะมาจัดการ ค่าตอกเข็มนี่ต้องใช้เงินถึงแปดแสนบาท ไม่ ใช่เล็กน้อย เพราะเข็มมันยาวหน่อย 21 เมตร สมัยนี้ของมันแพง เราอย่าไปคิดว่าของแพง เราคิดแต่ เพียงว่าให้มันได้ให้สำเร็จประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นแก่เด็กในอนาคตข้างหน้า เด็กที่ได้เรียนธรรมะมันไม่ ต้องฆ่าตัวตาย ไม่ต้องทำลายตัวเอง ดังที่เป็นข่าวปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยๆ
ความจริงเวลานี้ก็มีการศึกษาก้าวหน้า เรียนถึงขั้นมหาวิทยาลัย แต่ว่าในการเรียนนั้น ไม่มี การสอนธรรมะ ให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจ เมื่อเขาไม่รู้จักธรรมะเขาก็ไม่รู้จักปลงของหนัก ก็หนักอยู่ ตลอดเวลา คนเราถ้าแบกของหนัก แล้วไม่ปลงลงเสียบ้าง ก็เดินเอียงไปเท่านั้นเอง บ่ามันหนักอยู่ข้างหนึ่งมันก็เอียง ถ้าหนักสองบ่า มันก็ทรุดเท่านั้นเอง ลุกขึ้นไม่ได้ เพราะไม่รู้จักปลง ไม่รู้จักวาง เราจึงต้องสอนเขาให้รู้ธรรมะ แล้วสอนให้เขารู้ว่า ใช้ธรรมะอย่างไรในชีวิตประจำวัน เมื่ออะไรเกิดขึ้น ควรจะคิดจะวางอย่างไร แล้วควรจะแนะนำเขาไว้ว่า เมื่อใดกลุ้มใจ อย่าลืมนึกถึงพระพุทธเจ้า มาหาพระสงฆ์ ที่มีความรู้ความเข้าใจธรรมะ เพื่อท่านจะได้แบ่งเบาความทุกข์ ที่อยู่ในอกนั้นให้มันหายไป ตามวิธีของพระพุทธเจ้า ถ้าได้มาวัดแล้ว มันไม่ฆ่าตัวตาย มันก็ได้รู้ได้เข้าใจ บางคนมันยึดถือในอะไรๆ แรงไป ไม่รู้จักปล่อย ไม่รู้จักวาง เสียผู้เสียคนไป นี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้สอนเขา ให้เขามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบในเบื้องต้น ไปสอนเมื่อโตมันไม่ได้ โบราณว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ดัดแล้วก็ต้องเข้าไฟ คือมันต้องใช้วิธีรุนแรง ได้ใช้วิธีการรุนแรงนี่มันไม่ไหว อาจจะออกจากบ้านไปเสียก่อนก็ได้ เพราะมันแรงเสียแล้ว ฉะนั้น มันต้องฝึกหัดเสียตั้งแต่เริ่มต้น
ให้สังเกตครอบครัวบางครอบครัว ที่พ่อแม่ประพฤติธรรม ลูกเรียบร้อยหมดทุกคน ไม่มีความเสีย หายเพราะพ่อแม่ประพฤติดีประพฤติชอบ อยูในศีลในธรรม ลูกก็เรียบร้อย ตั้งหน้าทำมาหากัน ประพฤติดีประพฤติชอบ หลานก็ยังเรียบร้อยอยู่ เพราะว่าคุณยายเรียบร้อย แล้วถ้าหากคนเหล่านั้น ได้สืบต่อคุณงามความดี ของบิดามารดา ชีวิตก็ยังไม่สูญเสียตราบนั้น อันนี้เป็นเรื่องที่เราเห็นกันอยู่ทั่วๆ ไป แต่ในครอบครัวใด กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ชอบเที่ยวเตร่ เฮฮา ทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง ไม่มีโอกาสที่จะอบรมลูก อบรมไม่ได้ เพราะวิถีชีวิตพ่อแม่ ไม่เป็นตัวอย่างในทางดี พูดเรื่องดีมันก็ไม่ได้ เพราะมันขัดกับความเป็นอยู่ เลยพูดไม่ออก เมื่อพูดไม่ออก ก็ปล่อยตามเรื่องตามราว เมื่อปลอยหนักๆ เข้าลูกก็เสียคน กลายเป็นอันธพาล รกบ้านรกเมือง อันนี้คือเรื่องความเสียหาย ผู้ที่เป็นผู้นำนั้น ต้องเดินให้ตรงทาง ถ้าผู้นำเดินไม่ตรง ผู้ตามจะเดินตรงได้อย่างไร อันนี้เป็นปัญหาหนักอยู่ ต้องแก้ไขในเรี่องอย่างนี้
เมื่อวันซืนนี้ ไปที่จังหวัดสุพรรณ ไปอำเภอบางปลาม้า แล้วก็ไปพูดกับนักเรียนตอนเช้า ตอนบ่าย พูดกับพระ แต่ว่าก่อนที่จะพูดกับพระนี่ มีคฤหัสถ์คนหนึ่งพูดก่อน แล้วพระท่านก็สรุป ท่านเล่าให้ผู้ที่ไปฟังว่า ตามในโรงเรียนนี่ ไปพูดลำบากอยู่บางประการ คือครูเขาเกรงไปว่า เด็กจะรู้ความจริง ในเรื่องศีลธรรมแล้ว ครูจะลำบาก ถามว่าจะลำบากอย่างไร เพราะครูมีความประพฤติ ไม่ค่อยจะเรียบร้อย ครูชอบเล่นการพนันก็มี ดื่มเหล้าก็มี ชอบเที่ยวเหลวไหลก็มี ถ้าหากเด็กมันรู้เรื่องเหล่านั้น เป็นอบายมุข เป็นทางเสื่อม เป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม เด็กมันก็จะมองครูว่า ครูเรานี่ไม่ดี ไม่สำรวม ไม่ประพฤติธรรม ครูเลยกีดกัน ไม่อยากให้พระไปสอน พอพระไปสอนแล้ว เด็กมันจะรู้ธรรมะ ตัวจะประพฤติชั่วไม่ได้ อันนี้มันลำบากเหมือนกัน ไม่เห็นประโยชน์ของธรรมะ แต่เห็นประโยชน์ของตัว นึกว่าให้ได้ประโยชน์ของตัว ได้มี เสรีภาพที่ไปในทางต่ำ
เสรีภาพในสังคมของมนุษย์ยุคนี้ มักจะเข้าใจผิดไป คิดว่าเสรีภาพ คือการได้ทำอะไรตามใจอยาก อยากใจตัวปรารถนา อยากจะดื่ม อยากจะเที่ยว อยากจะสนุก อยากจะทำอะไร ให้ทำได้ตามชอบใจ ไม่ต้องมีใครมาขัดคอ ไม่ต้องมีใครมาสอน มาเตือน เขาก็เรียกว่าสบายใจเขา สบายใจ เพราะตามใจตัวเอง การไหลไปตามอำนาจอารมณ์ และสิ่งแวดล้อม เขาบูชาว่านั่นเป็นเสรีภาพของเขา ความจริงนั้นมันไม่ถูกต้อง อันนั้นมันไม่ใช่เสรีภาพ แต่ความเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของกิเลส ประเภทต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ความโลภเกิดขึ้น ไหลไปตามอำนาจความโลภ ความโกรธเกิดขึ้น ก็ไหลไปตามอำนาจความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น ก็ไหลไปตามอำนาจความหลง หรือมีความอยาก จะทำอะไร ไม่มีความยับยั้ง ไม่มีการควบคุมตัวเอง ปล่อยไปตามเรื่องตามราว เขาเข้าใจว่า เป็นเรื่องเสรีภาพ
เด็กหนุ่มๆ ในโลก ปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศด้อยพัฒนา หรือประเทศที่มีการพัฒนาแล้ว กำลังหลงใหลได้ปลื้ม กับเสรีภาพแบบนี้ เพราะฉะนั้น เขาจะแต่งตัวตามชอบใจ กินเที่ยวตามชอบใจ ถ้าพ่อแม่พูดห้าม เขาจะอ้างว่า เวลานี้ผมอายุ 18 ปีแล้ว เกินเรื่องที่พ่อแม่จะบังคับแล้ว กฎหมายมันก็เขียนไว้ ในทางที่เหลวไหล เปิดโอกาสให้คน ประพฤติตัวตามชอบใจ เลยก็ไปกันใหญ่ พอพ่อแม่พูดหนักเข้า ก็บอกว่า หนูนี่อายุเท่านี้แล้ว คุณแม่อย่ามายุ่งกับหนู ให้มันมากไปนะ มันเป็นอยู่อย่างนี้ แล้วมันจะไปกันได้อย่างไร มันก็เตลิดออกไป ไปนั่งสูบกัญชากัน ตามสวนสาธารณะ ไปเที่ยวไปสนุกกันไปตามเรื่อง กลายไปเป็นพวกที่ เขาเรียกว่าบุพชน ฮิปปี้ นั่นแหละ ไอ้พวกฮิปปี้ ในสังคมยุโรป อเมริกา คือพวกหลงใหลได้ปลื้ม ในเรื่องเสรีภาพแบบเป็นทาส ไม่ใช่เสรีภาพแบบเป็นไทย ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาเรานั้น พระผู้มีพระภาค ส่งเสริมเสรีภาพทางสังคม แต่ว่าเสรีภาพของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นเรื่องยกระดับจิตใจ ให้สูงขึ้นๆๆ จนพ้นจากอำนาจฝ่ายต่ำ คล้ายกับดอกบัวที่มันจะบาน มันก็โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ โผล่สูงขึ้นๆ จนพ้นน้ำ พอพ้นน้ำแล้ว ดอกบัวนั้น ไม่เปื้อนด้วยน้ำโสโครก โคลนก็ไม่เปื้อนดอกบัว เราไปเก็บดอกบัวนี่ ไม่ต้องล้าง ไม่เหมือนเก็บผักบุ้ง ซึ่งต้องล้าง ผักกะเฉดก็ต้องล้าง อะไรอยู่ในหนองต้องล้าง ดอกบัวไม่ต้องล้าง เพราะมันสะอาดอยู่แล้ว ล้างมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร เก็บมาได้เอาไปบูชาพระทันที ดอกบัวนั้น เป็นตัวอย่างแห่งเสรีภาพ ทางด้านจิตใจ
พระพุทธเจ้า สอนให้เราทุกคน ปฏิบัติตตัวเพื่อเสรีภาพ พอกพูนเสรีภาพ สะสมเสรีภาพ ให้เกิดขึ้นในจิตใจ แต่ว่าต้องปฏิบัติตามธรรมะ ยิ่งปฏิบัติธรรมะมากขึ้น เสรีภาพก็มากขึ้น เสรีภาพตัวนี้ หมายถึงว่า จิตใจอยู่เหนืออำนาจฝ่ายต่ำ คนๆ นั้นเป็นตัวเองแท้ๆ ตัวเองแท้ๆ คือตัวเองที่มีใจบริสุทธิ์อยู่ สะอาดอยู่ สว่างอยู่ สงบอยู่ ไม่มีกิเลสประเภทใด เข้ามาทำให้เศร้าหมอง แต่ถ้ามีกิเลสอันใดเกิดขึ้น ทำใจให้เศร้าหมอง ผู้นั้นก็ชื่อว่าไร้เสรีภาพ ตกอยู่ในอำนาจของกิเลส ประเภทนั้นๆ กี่เปอร์เซ็น มากน้อยเท่าใด สุดแล้วแต่การตามใจ ของบุคคลผู้นั้น นั่นมันไม่ถูกต้อง
เราจึงควรจะสอนลูกสอนหลาน ให้รู้รากฐานของเสรีภาพ ว่าเสรีภาพนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าส่ง เสริม ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 หรือไม่ได้เกิดเมื่อ 14 ตุลา 2516 มัน ไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นของเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ ที่พระพุทธเจ้าสอนมาแต่โบรมโบราณ เพื่อให้ปฏิบัติตนเพื่อเสรีภาพ แล้วก็สอนเสรีธรรม คือข้อปฏิบัติ ที่จะให้จิตใจเป็นอิสระเสรี อย่างแท้จริง
ธรรมะที่เป็นข้อปฏิบัติ เพื่อเสรีภาพอย่างแท้จริงนั้น คือการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในองค์มรรคมีองค์ 8 มรรคมีองค์แปดนั้นมีข้อหนึ่งว่า สัมมาสติ สัมมาสติคือความระลึกชอบ ระลึกชอบก็คือว่า เจริญสติปัฏฐาน 4 มีสติ มีสัมปชัญญะ มีความเพียร ในการกำหนดรู้เรื่องของร่างกาย กำหนดรู้เรื่องของจิต กำหนดรู้เรื่องธรรม กำหนดรู้เรื่องของเวทนา เรียกว่า กาย เวทนา จิต ธรรม 4 อย่าง ให้กำหนดสิ่งเหล่านี้ ให้จิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ นั่นคือการฝึกฝนอบรมตนเอง เพื่อความเป็นเสรีชนอย่างแท้จริง
ที่เรามาวัดกันนี่ก็ให้เข้าใจว่า เรามารับแบบฝึกหัด เพื่อเอาไปปฏิบัติเพื่อความเป็นเสรีชน เพื่อให้ มีเสรีภาพทางจิตใจ แล้วเราจะได้มีสุขทั้งกายและใจ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติทุกแง่ทุกมุม เช่นการให้ทาน การรักษาศีล การฟังธรรม การแสดงธรรม การเจริญภาวนา หรือการปฏิบัติอันใด ที่เป็นบุญกิริยา การกระทำที่เป็นบุญ ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ถือเป็นการฝึกฝนอบรมตนเอง เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นเสรีชนทั้งนั้น ให้เข้าใจอย่างนั้น ถ้าการปฏิบัติอันใด ทำให้เราต้องเป็นทาสของอะไร ก็ยังไม่ถูกต้อง ตามหลักการในทางพระพุทธศาสนา หลักการในทางพระพุทธศาสนานั้น ต้องปฏิบัติ เพื่อให้จิตเราสูงขึ้น สะอาดขึ้น สว่างขึ้น สงบขึ้น มีเสรีภาพทางจิตมากขึ้น อันนี้เราดูด้วยตัวเอง วัดตัวเองได้ วัดว่าตั้งแต่เราเริ่มเข้าวัด เริ่มรักษาศีล เริ่มฟังธรรม เริ่มการศึกษาด้านภาวนา สภาพจิตใจดีขึ้นหรือเปล่า เรายังตกอยู่ในอำนาจ ของความโกรธที่เคยโกรธไหม สมมติว่าเราเคยเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว หุนหันพลันแล่นมาก่อน ครั้นเรามาวัด ไอ้สิ่งนั้นมันลดลงไปหรือเปล่า ใจเคยร้อนมันลดลงไปหรือเปล่า ความขี้โกรธอะไรต่างๆ มีอะไรกระทบ ก็ปึงปังๆ คล้ายกับดินประสิว มันไวต่อไฟฉันใด เราก็สังเกตว่า มันเบาขึ้นหรือเปล่า ช้าลงหรือเปล่าในสิ่งเหล่านั้น หรือว่าเวลาที่เกิดอารมณ์รู้ทันหรือเปล่า รู้ตัวว่า กำลังโกรธอยู่ กำลังจะโกรธ หรือโกรธอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า ถ้าพอรู้ตัวก็พอจะได้ปราบได้
คนเราที่กิเลสมันลุกลามขึ้นในจิตใจ ก็เพราะว่าไม่รู้ ไม่รู้ว่าเรากำลังคิดอะไร พูดอะไรออกไป ทำอะไรอยู่ เราไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องนั้น เราก็ถูกมันครอบงำ มันบังคับเราให้กระทำอะไรๆ ด้วยประ การต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ตกเป็นทาสของอารมณ์ทั้งนั้น นี่คือความเสียหาย เราก็สังเกตได้ว่ามันมีทั้งนั้น อะ ไรๆ มันมีกันทั้งนั้น ต้องดูที่ตัวเราเอง ถ้าเรารู้ ก็ว่าง สงบขึ้นเยอะ รู้ทัน พอควบคุมตัวเองได้ จิตใจ สบายขึ้น มีอะไรมากระทบก็วางเฉยได้ ไม่ยินดีเกินไป ไม่ยินร้ายต่อสิ่งนั้นมากเกินไป ก็แสดงว่า การปฏิบัติธรรมของเรานั้น ได้ผล เราได้เข้าสู่เส้นทางของพระพุทธเจ้าที่จะนำเราไปสู่เสรีภาพอันสูง สุด เสรีภาพสูงสุดก็คือพระนิพพานนั่นเอง
พระนิพพานนั้น ดับกิเลสหมดไม่มีเหลือ มันไม่มีเชื้อจะให้เกิดต่อไป เราก็อยู่ในโลกตามธรรมดานี่แหละ ทำมาหากินกันไปตามเรื่องไม่ใช่ว่า พอจิตถึงนั้นแล้วมันจะตาย ไม่ใช่อย่างนั้น ร่างกายมันก็ยังอยู่ได้มันก็อยู่ แต่ถ้าร่างกายมันอยู่ไม่ได้มันก็ ตาย เรื่องนั้นเรื่องตายมันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่อาศัยการปรุงแต่งทางวัตถุ ถ้าเครื่อง ปรุงแต่งมันพร้อมเราก็อยู่ได้ แต่อยู่อย่างผู้มีความสุข อย่างแท้จริง อยู่อย่างผู้มีใจสงบอย่างแท้จริง เป็น บุคคลประเภทที่เรียกว่าเหนือโลก โลกไม่แปดเปื้อนจิตใจคนเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้น ไม่ทำให้คนที่มีใจสูงนั้น ยินดี ยินร้ายในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ เขารู้สึกว่าตัวเอง เป็นตัวเองอยู่ตลอดเวลา สภาพมันเป็นอย่างนั้น นั่นแหละคือเสรีภาพที่ถูกต้อง ที่เราควรจะได้ขวนขวายแสวงหา
อันการแสวงหาเสรีภาพตามแบบ ในทางพระพุทธศาสนานั้น ไม่ขัดกับใครเลย ไม่ทำให้เกิด ความทุกข์แก่ใคร ไม่เกิดความเดือดร้อนแก่ใคร เพราะต่างคนต่างนั่งสงบ ต่างคนต่างมองดูด้านใน ต่างคนต่างก็พิจารณาตัวเอง จัดการกับตัวเองอยู่ แล้วมันจะมีปากเสียงกับใคร เราไปแสวงหาเสรีภาพ แบบชาวโลก ฉันอยากจะไปดูหนัง ฉันอยากจะไปเที่ยวนั่นละ ฉันอยากไปเล่นการพนันละ ฉันจะดื่ม เหล้าละพอเมาก็เอะอะ มันก็ขัดกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องการความสงบ ไอ้เรามันเสียงปึงปังโผงผาง ประเดี๋ยวก็ตีกัน ทำให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงหวาดเสียว กลัวมันจะหลังเข้ามาในบ้านของตัวมั่ง ทำให้เกิดปัญหา นั่นมันเสรีภาพฝ่ายต่ำ สร้างความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนแก่ท่าน
แต่ถ้าเรามาเสรีภาพแบบเพื่อความบริสุทธิ์ทางจิตใจ เพื่อความสงบทางจิตใจแล้ว มันไม่มีอะไร ที่จะเกิดเป็นปัญหา แก่เราทั้งหลายทั้งปวง เราจะอยู่ด้วยความสุข ด้วยความสงบในทางจิตใจ นี่เป็น เรื่องที่เราควรจะแสวงหา ควรจะประพฤติกระทำอยู่ตลอดเวลานาที ญาติโยมอาจจะมีความข้องใจอยู่ว่า เรามีชีวิตอยู่กับการงาน อยู่ในสังคม ต้องประกอบธุระกิจการค้าการขาย ทำนั่นทำนี่ จะปฏิบัติอย่างนี้ได้หรือไม่ อยากจะบอกให้ทราบว่า นั่นแหละควรปฏิบัติ ชีวิตในรูปนั้นนั่นแหละควรปฏิบัติ เพราะเราต้องต่อสู้กับปัญหา ต้องคบคนประเภทต่างๆ ที่มันไม่เหมือนเรา เราต้องพบเขา คนบางคนเราไม่อยากพบก็ต้องพบ มันต้องมีธรรมะ แล้วในการพบกับคนเหล่านั้น คนบางคนพอเจอเราก็ยั่วให้เราโกรธ ยั่ว ให้เราไม่มีสมาธิ เขาจะได้โอกาส ที่จะหลอกจะต้มเราต่อไป หรือว่าเขาจะชวนให้เราเพลินไป สนุกสนานไปกับคำพูดของเขา เช่นเขามายกย่องเรา เราก็ไปติดในคำยกย่องชมเชย เราก็ลืมตัว พอลืม ตัวเขาก็ทำอะไรกับเราได้ ขออะไรกับเราได้ เพราะเราลืมตัวไปเสียแล้ว อันนี้มันเรื่องมันเป็นปัญหา
ยิ่งเราอยู่ในธุระกิจการค้าการขาย ต้องติดต่อกับคนทุกประเภทแล้ว ในสังคมปัจจุบันนี้ มันชิง ไหวชิงพริบกันทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องอะไร ชิงไหวชิงพริบกันอยู่ตลอดเวลา เพราะอาชีพมันแข่งขันกัน แข่งขัน กันต่อสู้ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตนปรารถนา เราก็ต้องมีไหวพริบมีสติปัญญา มีสมาธิอยู่ในจิตใจ ให้มั่นคง เพื่อจะไปต่อสู้กับคนเหล่านั้นก็ได้ แม้เราทำราชการ จะเป็นอะไรก็ตามใจมันก็มีปัญหา เพราะว่าคนที่ทำงานด้วยกันนั้น จิตใจไม่เหมือนกัน มีความเห็นไม่เหมือนกัน มีศีลไม่เหมือนกัน ไม่มีปัญญาทัดเทียมกัน มันก็เกิดเป็นปัญหา ทำให้เราต้องกลุ้มใจบ่อยๆ ถ้าเราไปถึงสำนักงาน แล้วเรานั่งกลุ้มใจ เราพบคนนั้นเราก็กลุ้มใจ พบเหตุการณ์นั้นเราก็กลุ้มใจ ความสุขมันจะเกิดได้อย่างไร ชีวิตมันน่าเบื่อหน่ายเท่านั้นเอง ถ้าเราอยู่ในสภาพเช่นนั้น นี่แหละคือการเรียกร้องให้มีธรรมะ แสดงให้เห็นว่า ในชีวิตประจำวันของพวกเราทั้งหลาย ที่คลุกคลีอยู่ในสังคมโลกนั้น มันต้องการอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่จะมาช่วยประคับประคองจิตใจ ไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้น ไม่ให้เกิดพื้นเสีย อารมณ์เสียขึ้นในใจ เราจะได้ทำงานด้วยความสงบ ด้วยความ เยือกเย็น ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ ด้วยอารมณ์ที่มากระทบ เพราะว่าบางคนนั้นขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลา คนนั้นมาดีใจ คนนั้นมาเสียใจ คนนั้นมาเย็นใจ ไอ้คนนั้นว่าไม่ร้อนเป็นพืนเป็นไฟขึ้นมาแล้ว มันเป็นสุขที่ตรงไหน ที่เราอยู่อย่างนั้น มันเป็นสุขที่ตรงไหน ท่านก็จะรู้ว่า มันมันไม่เป็นสุขอะไร แล้วก็ล่อแหลม ในการเป็นโรคประสาทอยู่ตลอดเวลา มันเป็นปัญหาอย่างนี้ เราจึงต้องมีอะไรเป็นเครื่องควบคุมจิตใจ
คนหนุ่มๆ ที่เริ่มเข้าวัดนี่ นับว่าได้เปรียบมาก เหมือนกับว่าทหารที่จะออกศึกนี่ ได้ฝึกบ่อยๆ ใน ยุทธวิธีในการสู้รบกับข้าศึก ทหารนั้นมักจะได้เปรียบ เวลาเข้าสูสมรภูมิก็ไม่พ่ายแพ้ เพราะได้ฝึกจนชำนาญ ฉันใด คนที่จะอยู่ในโลกต่อไป โดยเฉพาะคนในวัยหนุ่ม หนุ่มๆ สาวๆ มันมีปัญหาเยอะ ที่เราจะต้องผจญต่อไปข้างหน้า เราอย่านึกว่าเส้นทางที่เราจะเดินไปในวิถีชีวิตนั้น มันราบรื่น เรียบร้อย มีดอกไม้โปรยปราย เต็มสองข้างทาง มีทิวทัศน์น่าดู อย่าไปฝันหวานอย่างนั้น มันมีปัญหาเยอะแยะ ยิ่งในสังคมปัจจุบันด้วยแล้ว มันไม่มีเส้นทางใดที่ราบรื่นเรียบร้อย ไม่มีเส้นทางใด ที่ไม่มีอุปสรรคไม่มีปัญหา เราจะมีชีวิตอยู่ ในสังคมโลกต่อไปนั้น มันต้องต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ต้องมีปัญหา ปัญหาคือสิ่งที่เราจะต้องต่อสู้ อันนี้การต่อสู้ ถ้าต่อสู้ด้วยปัญญา เราก็ชนะ แต่ถ้าเราต่อสู้ ด้วยความโง่ความเขลา เราก็แพ้ แพ้เราก็เป็นทุกข์ ไม่ว่าแพ้อะไรมันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้วเราก็ไม่สบายมากขึ้น เบื่อโลก ไม่อยากจะอยู่ในโลกแล้ว เลยนึกว่าตายแล้วมันจะหมดทุกข์ นึกสั้นๆ ไม่คิดให้ยืดยาวอะไร เลยก็ไปทำลายตัวเอง
นี่คือปัญหา ที่เราไม่ได้เตรียมตัวไปต่อสู้ เหมือนข้าศึกยกมาประชิดเมืองเราไม่ได้หัดคนให้เป็น ทหาร แต่ไปจับชาวนาชาวไร่ มาจับปืนไปยิงกับข้าศึก มันไม่รู้ว่าจะเอาลูกกระสุนใส่อย่างไร จะยิงอย่าง ไร ยิ่งอีท่าไหน ไปยืนจังก้ายิงอยู่ เขาเก่งกว่าก็ยิงเราม่องไปเสียก่อนเท่านั้นเอง เราก็พ่ายแพ้ฉันใด ใน สมรภูมิแห่งชีวิตเรานี้ก็เหมือนกัน เราจะต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ เราอย่านึกว่าเรามีความรู้พอแล้ว ที่ เรียนมาจากมหาวิทยาลัยนั้น ความรู้ที่เราเรียนมา จากมหาวิทยาลัยนั้น มันเป็นความรู้ ในการประกอบกิจการงาน เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ให้ได้เงินได้ปัจจัยมาสำหรับกินใช้ ความรู้มันเท่านั้นแหละ ความสามารถมันก็อยางนั้นแหละ แต่ว่าความรู้นั้น จะไม่ช่วยเราในเมื่อเรามีปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อน คนมีความทุกข์ ความเดือดร้อน ช่วยตัวเองไม่ได้ นายแพทย์มีความรู้ในทางร่างกาย เรื่องโรคแล้ว ก็รู้ว่าจะรักษาโรคอย่างไร แต่เมื่อมีปัญหาทางด้านจิตใจขึ้น ก็ไม่สามารถจะใช้ตำรายา ตำราหมอนั้นช่วยตัวได้ เพราะมันคนละเรื่องกัน
| หน้าถัดไป >>
มองทุกให้เห็นจึงเป็นสุข
ทุกข์ซ้อนทุกข์
ไม่มีอะไรได้ดังใจเหมือนม้ากาบกล้วย
วันนี้เจ้าอยู่กับฉันพรุ่งนี้มันไม่แน่
มันเป็นเช่นนั้นเอง
ศีลธรรมและสัจจธรรม
แหล่งเกิดความทุกข์
องค์สามของความดี
หลักใจ
ทำดีเสียก่อนตาย
ตามรอยพุทธบาท
ฐานของชีวิต
ความพอใจเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ชั่งหัวมัน
อนัตตาพาสุขใจ
ฤกษ์ยามที่ดี
อดีต ปัจจุบัน อนาคต
วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า
สำนึกสร้างปัญญา
สอนลูกให้ถูกวิธี
ปฏิวัติภายนอกกับภายใน
ร้อนกายไม่ร้อนใจ
อย่าโง่กันนักเลย
การทำศพแบบประหยัด
คนดีที่โลกนับถือ
ความจริงอันประเสริฐ
เสรีต้องมีธรรม
ทาน-บริจาค
เกียรติคุณของพระธรรม
เกียรติคุณของพระธรรม (2)
พักกาย พักใจ
เกิดดับ
การพึ่งธรรม
อยู่ด้วยความพอใจไม่มีทุกข์
มรดกธรรม
ฝึกสติปัญญาปัญหาไม่มี
ทำให้ถูกธรรม
วางไม่เป็นเย็นไม่ได้